บทที่ 2
ลี่อินประคองจือหลินให้นอนลงก่อนที่นางจะช่วยห่มผ้าให้อย่างใส่ใจ แม้รู้ดีว่าบุตรสาวมีท่าทางที่ต่อต้านนางอย่างประหลาดแต่ก็คิดว่านางยังคงหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
วันต่อมาจือหลินนางก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควรจะทำ เพราะนางรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอันใดมาก และอีกอย่างร่างกายของมารดาก็ไม่อาจจะทำงานหนักได้เมื่อรู้มาจากความทรงจำเดิม
เมื่อคืนนี้ตอนที่จือหลินนางหลับไปยังฝันถึงจือหลินเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย จือหลินร้องไห้อย่างน่าสงสารแล้วบอกให้นางช่วยดูแลมารดาแทนด้วย
จือหลินไม่รู้จะทำเช่นไรจะให้นางกลับเข้าร่างก็ไม่อาจจะทำได้ จึงได้รับปากจือหลินคนเดิมไปเพื่อให้นางวางใจ
อย่างน้อยชาตินี้ก็มีมารดากับเขาบ้างแล้ว เพียงแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งนางคงไม่ลำบากมากนักที่ต้องคอยดูแล
แต่ร่างนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบหนาวนางจะไปทำอันใดได้มากก็ยังไม่รู้
จือหลินเดินไปที่ห้องครัวตามความทรงจำเดิม ก่อนที่จะเห็นลี่อินนางจุดไปอยู่
“ข้าทำเองเจ้าค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปแย่งตะบันไฟและฟืนในมือของลี่อินมาก่อนที่จะทำทุกอย่างอย่างคล่องแคร่ว
ไม่ใช่ว่านางเก่งแต่อย่างใด ถ้าไม่มีความทรงจำเดิมของจือหลินคนก่อน การจุดไฟเช่นนี้นางก็คงทำไม่ได้เช่นกัน
เมื่อสำรวจดูว่ามีของใดที่จะนำมาทำอาหารได้บ้างก็พบเพียงหัวมันเล็กๆ ไม่กี่หัวเท่านั้น ข้าวสารก็แทบจะหมดลงแล้วด้วย
จือหลินได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกก่อนจะลงมือล้างข้าวแล้วทำเป็นข้าวต้ม หัวมันนางก็ใช้เพียงสองลูกแล้วโยนเข้าไปในกองไฟเพื่อเผา
“หลินเออร์ เจ้าจะลุกขึ้นมาทำไม กลับไปนอนเสีย แม่ทำเองได้” ลี่อินจะเข้ามาช่วยจือหลินทำอาหาร
“ท่านออกไปนั่งพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าทำได้” จือหลินไม่ได้หันไปพูดกับลี่อิน ปากนางพูดแต่มือก็ยังทำงานไม่หยุด
“แต่ว่า” ลี่อินยังไม่ยอม
“เชื่อข้าเถิด หากท่านล้มป่วยอีกคนจะทำเช่นใด” จือหลินหันไปมองลี่อินอย่างเรียบเฉย
นางเห็นแววตาของบุตรสาวก็อดจ้องมองอย่างตกตะลึงไม่ได้ แววตาของจือหลินในยามนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
นางเหมือนคนที่ผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน เรียบเฉย สงบนิ่ง จนลี่อินที่เผลอจ้องนางยังนึกหวาดกลัว
จือหลินก็เหมือนจะรู้ว่าลี่อินคิดเช่นไร แววตาของนางจึงอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะช่วยประคองลี่อินออกไปรอที่ห้องโถง
จือหลินมองห้องครัวที่สกปรกยุ่งเหยิง ก่อนจะเริ่มเก็บล้างและปัดกวาดทั้งหมดระหว่างที่รออาหารเสร็จ แต่ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปนางทำเสร็จก็แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว
นั่งพักจนหายเหนื่อยก็ยกอาหารออกไปกินกับลี่อินที่ด้านนอก
“ท่านกินก่อนเถิดเจ้าค่ะ สงสัยเรื่องใดค่อยพูดคุยกัน” จือหลินเงยหน้าขึ้นมาพูดกับลี่อินเมื่อเห็นว่ามือนางยังไม่ยอมขยับตะเกียบ
เมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อย จือหลินก็เก็บไปล้างให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะนางติดนิสัยมาจากโลกก่อนที่ทำอะไรต้องเป็นระเบียบไปเสียหมด
เพราะถูกฝึกมาเช่นนี้ด้วยกระมัง จึงทำให้เด็กในองค์กรแทบทุกคนมีวินัย ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องทำด้วยตนเองไม่สามารถพึ่งพาผู้อื่นได้
“ท่านสงสัยสิ่งใด ก็ถามเถิดเจ้าค่ะ” จือหลินยกน้ำขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
ลี่อินมองท่าทางของนางที่เหมือนกับคนถูกฝึกมารยาทมาอย่างประหลาดใจ
“เช่นนั้นท่านฟังข้าแล้วอย่าตกใจจนเสียสติเล่า” จือหลินเอ่ยเตือนนางเสียก่อน เพราะนอกจากนั่งมองนางแล้วก็ไม่กล้าถามเรื่องใด
จือหลินเล่าเรื่องที่นางตกจากเขาแล้วหมดสติไปจนวิญญาณไปโผล่อีกภพหนึ่งที่มีความเป็นอยู่ต่างจากที่แห่งนี้มาก
นางถูกฝึกให้ใช้ชีวิตด้วยตนเองและเรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมาย จือหลินไม่ใจร้ายถึงกับบอกเรื่องที่บุตรสาวที่แท้จริงของนางตายไปแล้ว แต่นางคือวิญญาณที่มาจากโลกอื่น
เพราะลี่อินที่ไม่เหลือผู้ใดในชีวิต และเป็นหญิงสาวที่บอบบางเช่นนี้ คงไม่อาจทำใจได้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องของจินฮวาและอี้เฉินนางจะคืนสนองให้อย่างแน่นอนที่กล้าทำร้ายชีวิตของหญิงสาวดีๆ เช่นนี้
ลี่อินเมื่อฟังจบก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง เมื่อรู้ว่านางเกือบจะเสียบุตรสาวที่เหลือเพียงคนเดียวไปแล้ว
นางดึงตัวของจือหลินมากอดไว้แน่นอย่างหวงแหน จือหลินที่ไม่ได้ตั้งตัวก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
นางปล่อยให้ลี่อินกอดนางไว้เช่นนั้น เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกของอ้อมกอดของมารดา ภายในอกของนางก็สะท้านอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นับจากนี้ท่านมีข้าอยู่ไม่ว่าเรื่องอันใดข้าจะจัดการให้ท่านเอง” จือลูบหลังปลอบนางเบาๆ
“แม่ แม่ ไม่ดีเอง เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า” ลี่อินสะอื้นไห้จนพูดไม่เป็นคำ
“หากเรื่องนี้จะมีผู้ใดผิด ก็เป็นสองแม่ลูกนั้นมากกว่า” จือหลินเผยแววตาสังหารออกมาอย่างมีโทสะ
นางไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกของนางที่สงสาร จือหลินกับลี่อินหรือความโกรธแค้นของเจ้าของร่างเดิมกันแน่
กว่าลี่อินจะสงบสติได้จือหลินก็ต้องปลอบเสียนาน ก่อนที่นางจะพาลี่อินที่เหนื่อยจากการร้องไห้เข้าไปพักผ่อนในห้อง
จือหลินจึงได้มีเวลามาสำรวจเรือนที่นางต้องอาศัยอยู่อย่างละเอียด อาจจะเป็นเพราะลี่อินนางไม่อาจทำงานหนักได้และจือหลินคนเดิมยังเป็นเพียงเด็กน้อย
เรือนทั้งหลังจึงทำความสะอาดได้ไม่ดีนัก แม้ตัวเรือนจะได้รับการซ่อมแซมแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ทรุดโทรมรอการพังทลายลงมาหากต้องเจอเข้ากับพายุ
เครื่องเรือนก็มีไม่มาก จึงจัดการได้ไม่ยากนัก ด้านนอกเรือนก็มีหญ้าขึ้นสูงในบางแห่งหากถูกถากออกก็นับว่ายังไม่พื้นที่เหลืออีกมาก คงเพียงพอให้ปลูกผักไว้กินกันสองคนแม่ลูกได้
ห้องน้ำเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้ที่สุด นอกจากจะต้องไปหาบน้ำที่ลำธารด้านหลังมาไว้เพื่ออาบแล้ว ส้วมที่ใช้ก็เป็นแบบขุดหลุม หากเต็มก็ต้องตักขึ้นมาทิ้ง จือหลินกัดฟันแน่นแล้วสบถออกมาอย่างหัวเสีย
นางเคยลำบากถึงขั้นนี้เสียเมื่อไหร่ แต่ให้ฝึกหนักจนต้องลากสังขารกลับที่พัก ที่อยู่ที่กินก็ล้วนแต่ดีที่สุด ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างก็อำนวยความสะดวกดีกว่าด้านนอกเสียด้วยซ้ำ