บทที่3 ขึ้นเขา
เสี่ยวหลันจื่อตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่เฒ่าสวีทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วคล้ายกับทำอย่างนี้จนเคยชินแล้ว เพราะชาติก่อนนางอาศัยอยู่กับตายยายในหมู่บ้านชนบท ต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านก่อนไปเรียนเพราะยายของนางต้องเปิดร้านขายของจึงทำให้เสี่ยวหลันจื่อช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
หลังจากทั้งสามทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วเสี่ยวหลันจื่อ จึงบอกจุดประสงค์ของตนเองแก่แม่เฒ่าสวีว่าจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่าสามารถหาอะไรไปขายได้บ้าน ถ้าอิงจากนิยายแนวทะลุมิติหลายๆ เรื่องนางเอกส่วนมากก็เริ่มต้นจากการเข้าป่าหาสมุนไพรหรือไม่ก็ทำอาหารขายแต่เสี่ยวหลันจื่อรู้ว่าทำอาหารยังไง แต่ไม่ได้อร่อยจนต้องร้องว้าวขนาดนั้น ดังนั้นเรื่องการทำอาหารขายจึงถูกปัดตกไป
เสี่ยวหลันจื่อลืมไปเรื่องหนึ่งคือตัวเองไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นนางเอก และนางพึ่งจะถูกพระเอกของเรื่องฆ่าตายเมื่อเดือนที่แล้ว
“เฮ่อ.....ยังไงก็ลองขึ้นไปดูสักหน่อยได้ไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง”
เสี่ยวหลันจื่อแบกตะกร้าสะพายหลังที่เห็นกันบ่อยๆ ในซีรี่ส์ย้อนยุคของจีนพร้อมด้วยมีดพกขนาดเหมาะมือที่เฒ่าหลิวเคยพกขึ้นเขาประจำและจอบอันเล็กเอาไว้ขุดผักป่าซึ่งเสี่ยวหลันจื่อยังไม่รู้เลยว่าผักป่าที่ถูกบรรยายในนิยายหลายๆ เรื่องมีหน้าตาเป็นยังไง
ถึงนางจะเป็นเด็กชนบทแต่ก็ไม่ค่อยได้ขึ้นเขาบ่อยนักจะได้ไปก็ช่วงที่ตาของนางว่างเท่านั้น กระบอกน้ำและซาลาเปาสองลูกถูกใส่ในลงในตะกร้า แม่เฒ่าสวีกำชับเสี่ยวหลันจื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่าห้ามเข้าไปในส่วนลึกของป่า นางก็ได้แต่พยักหน้ารับ เพื่อให้หญิงชราสบายใจ
“ท่านยายไม่ต้องห่วง ข้าไม่เข้าไปในป่าลึกหรอก จะเดินอยู่แค่รอบๆ ด้านนอกของป่าท่านสบายใจได้”
หญิงชราพยักหน้า แต่ยังมิวายกำชับอีกสองสามคำให้นางระวังตัว ทันทีที่เสี่ยวหลันจื่อเดินออกมาจากบ้านสกุลหลิว ก็มีหลายคนให้ความสนใจนาง เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของนางไม่เหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป หากจะบอกว่านางเป็นคุณหนูจากจวนสกุลใหญ่ก็มีคนเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย แต่เเม่เฒ่าสวีบอกคนในหมู่บ้านว่าเสี่ยวหลันจื่อเป็นญาติห่างๆ ของนางมาขออาศัยอยู่ด้วยพักหนึ่ง
“ขึ้นเขาหรือเสี่ยวหลันจื่อ” เสียงตะโกนถามของหญิงวัยกลางคนที่เสี่ยวหลันจื่อจำได้ว่าเคยคุยกับนางสองสามครั้งแต่จำได้แค่แซ่นำหน้าว่า จาง
“เจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้จาง” เสี่ยวหลันจื่อพยักหน้าแล้วยิ้มให้เล็กน้อย จางซื่อถึงกับหน้าแดงด้วยความเขินอาย “เด็กอะไรหน้าตาดีจริงๆ” นางพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าบ้านไป
ก่อนจะเดินจนถึงตีนเขาที่เสี่ยวหลันจื่อหมายตาเอาไว้ นางก็ได้รับคำทักทายจากชาวบ้านหลายสิบคนทั้งที่จำได้และจำหน้าตาไม่ได้ และนางก็ยิ้มให้ทุกคน ถือคติว่าจำชื่อไม่ได้แต่ยิ้มสู้ไว้ก่อน
“ชาวบ้านหมู่บ้านเถาฮวานี่อัธยาศัยดีกันจริงๆ”
ที่เสี่ยวหลันจื่อไม่รู้คือเพราะใบหน้าอันงดงามของตนเองทำให้ใครๆ ก็อดที่จะอยากพูดคุยด้วยไม่ได้ ถึงจะมีบางคนริษยาใบหน้าของนางก็ตามที แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสี่ยวหลันจื่องดงามจริงๆ
เมื่อเดินขึ้นเขามาได้สักพักเสี่ยวหลันจื่อก็ยัดตะกร้าและอุปกรณ์ใส่ไว้ในไอเทมบ๊อกของนาง แล้วเดินตัวปลิวขึ้นเขาอย่างสบายอารมณ์ นางเปิดระบบสแกน ในระยะ ห้าร้อยเมตรรอบด้านเผื่อเอาไว้แล้วหากมีสัตว์ใหญ่โผล่มาในระยะของนางรับรองระบบต้องแจ้งเตือน ก่อนหน้านี้เสี่ยวหลันจื่อถ่างตาอ่านคู่มือที่ยาวกว่าไกด์บุ๊คแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็พอจะรู้ว่าเจ้าระบบต่างๆ ใช้ยังไงบ้างอาจจะไม่หมดทุกฟังก์ชันก็ตามทีมันก็เหมือนสมาร์ทโฟนที่ซื้อมาแต่เราไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพราะไม่เคยอ่านคู่มือ น้อยคนนักที่จะเสียเวลาอ่านมัน
เสี่ยวหลันจื่อหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ล้วนเป็นป่าทึบแต่กลับให้ความรู้สึกดียิ่งนัก ได้ยินเสียงนกร้องก้องกังวาน เสียงลมพัดเบาๆ เย็นสบายทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนนี้ยังเช้าอยู่ ค่อยๆ เดินเล่นไปไม่รีบ เพราะยังไงรอบๆ ตัวนางในระยะห้าร้อยเมตรก็ไม่มีอันตราย
เสี่ยวหลันจื่อที่เพลิดเพลินในการเดินเล่นในป่ารู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนเดินตาม แต่ถ้าหากมีคนตามมาหรือมีสัตว์ใหญ่ระบบต้องแจ้งเตือนมาแล้วไม่ใช่หรือ เสี่ยวหลันจื่อนึกสงสัยแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ยังทำท่าทางเดินต่อไป รอให้อีกฝ่ายเผลอค่อยหันไปจับตัวให้อยู่หมัด เสี่ยวหลันจื่อเอามีดที่นางพกติดตัวออกมาจากไอเทมบ๊อกก่อนจะซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ รอเวลาจากนั้นหันหลังไปอย่างรวดเร็ว พบเพียงความว่างเปล่า เสียงเดินนั้นหายไปด้วย
เสี่ยวหลันจื่อมองไปรอบๆ ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
“ไม่ใช่ว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ นะ” นางหันหลังกลับแล้วออกเดินอีกครั้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นหยุดเดิน เสียงที่ตามมาก็เงียบหายไปเหมือนกัน ไม่นะไม่ใช่นางที่หลอนไปเอง นางได้ยินสียงที่เดินตามมาจริงๆ เสี่ยวหลันจื่อออกเดินเสียงนั้นก็เดินตาม นางหยุดเสียงนั้นก็หยุด เสี่ยวหลันจื่อออกวิ่งจนสุดแรงเสียงนั้นก็วิ่งตาม จากนั้นนางก็หยุดฝีเท้ากะทันหันแล้วหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วทันได้เห็นหางปุกปุยสีแดงเล็กๆ แอบอยู่หลังต้นไม้ไม่ห่างจากนาง เสี่ยวหลันจื่อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ออกมานะ” เงียบ..... เจ้าร่างเล็กๆ สีแดงไม่ขยับนางจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง จึงแอบย่องไปอีกด้านของต้นไม้เพื่อดูว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไรทำไมถึงเดินตามนางมา
ทันทีที่เดินไปถึงสิ่งที่ปรากฏในสายตาของเสี่ยวหลันจื่อคือร่างเล็กกลมป้อมเท่ากำปั้นกำลังใช้ขาหน้าที่ปุกปุยปิดหัวเล็กๆ ของมันอยู่ นางมองด้วยความงงงันปนสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กนี่กำลังทำอะไร
ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่ากำลังมีคนมองตัวเองอยู่จึงได้โผล่หัวเล็กๆ ที่มีดวงตาสีแดงกลมโตออกมา สี่ตามองสบประสานชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็หดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าของตนอีกครั้งด้วยท่าทางเขินอายบิดก้นน้อยๆ ไปมาแต่ก็มิวายแอบมองนาง
เสี่ยวหลันจื่อนั่งลงยอง ๆ ใช้นิ้วจิ้มๆ เจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะคล้าย กระรอกดินแต่กลับมีหางยาวเป็นพวงมีอุ้งเท้าปุกปุยเหมือนแมว
“แกใช่ไหมที่ตามข้ามา เจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อยังคงใช้นิ้วจิ้มมันอยู่อย่างนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่แสนประหลาด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเสี่ยวหลันจื่อจึงเลิกสนใจมันแล้วลุกขึ้นเดินออกมา เพราะนางยังมีเป้าหมายคือการหาเงิน จะมาเสียเวลากับสัตว์เล็กๆ อยู่อย่างนี้ไม่ได้
เจ้าสัตว์ตัวเล็กเหมือนรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของเสี่ยวหลันจื่อมันก็รีบออกจากหลังต้นไม้แล้ววิ่งตามนางไปทันที เสี่ยวหลันจื่อนึกสงสัยว่าทำไมระบบไม่แจ้งเตือน แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่ามีคนตามมา
“เจ้าตามข้ามาทำไม หืมเจ้าตัวเล็ก” เสี่ยวหลันจื่อหันไปถามมัน เจ้าสัตว์สีแดงเพลิงตัวน้อยยืนสองขาเอียงคอมองนางด้วยดวงตากลมโตสีแดงน่ารัก ทำให้ใจของเสี่ยวหลันจื่อถึงกันเหลวเป็นน้ำเลยทีเดียว นางยื่นมือออกไปช้าๆ เพื่อสัมผัสมันเจ้าสัตว์ตัวน้อยก็ไม่คิดหลบมือนาง
เสี่ยวหลันจื่อจึงอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ในอก เจ้าตัวเล็กใช้หัวเล็กๆ ของมันถูไถหน้าอกเสี่ยวหลันจื่อย่างสบายอารมณ์
“แกนี่แปลกจริงๆ ปกติสัตว์ป่าจะต้องกลัวคนไม่ใช่หรือ แต่แกมาเดินตามข้าอย่างนี้ แถมยังรู้จักออดอ้อนอย่างกับเด็กตัวเล็กๆ” เสี่ยวหลันจื่อคุยกับมันอย่างอารมณ์ดี
“เอาล่ะ ข้ายังต้องหาสมุนไพรไปขายไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้านะ”
เสี่ยวหลันจื่อวางมันลงบนพื้นจากนั้นเดินไปทางป่าที่ทึบกว่าเดิม ที่ไม่มีร่องรอยของคนเคยเดินผ่าน คราวนี้เสี่ยวหลันจื่อใช้ฟังก์ชันตรวจจับหาสมุนไพร ระบบสแกนไปรอบๆ รายชื่อของสมุนไพรผุดขึ้นมามากมายทั้งยังบอกสรรพคุณอีกด้วย
“นี่มันจะเยี่ยมไปถึงไหนกัน แบบนี้หนทางรวยของเราคงอยู่อีกไม่ไกลแล้วขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณระบบ”
เสี่ยวหลันจื่อหัวเราะกับตัวเองราวกับคนบ้า ตั้งแต่ที่มายังโลกนี้นางรู้สึกว่านิสัยตัวเองได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากเก็บสมุนไพรได้เยอะพอสมควร เสี่ยวหลันจื่อที่ลืมไปว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีแดงเพลิงอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา มันใช้อุ้งเท้าปุกปุยสะกิดนางเบาๆ
เสี่ยวหลันจื่อหันไปมอง จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็ทำท่าทางโบกไม้โบกมือ คล้ายอยากให้นางตามไป เมื่อเสี่ยวหลันจื่อเห็นว่าตนเองได้สมุนไพรมาเยอะแล้วจึงยอมตามไปดูว่ามันต้องการให้นางดูอะไร
หนึ่งคนกับหนึ่งตัว เดินตามกันสักพัก จากนั้นมันก็ไปหยุดอยู่ข้างๆ ต้นไม้ต้นหนึ่งไม่สูงมาก เสี่ยวหลันจื่อรู้ได้ทันทีว่าคือต้นอะไร เพราะเธอเคยเห็นในหนังสือตอนที่เรียนมัธยม มันคือโสมภูเขา เสี่ยวหลันจื่อหันไปมองเจ้าสัตว์ตัวเล็ก
“แกรู้จักโสมด้วยหรือ........... สงสัยเราจะเก็บได้ของดีแล้วแฮะ เป็นการทะลุมิติมาอย่างไม่เสียเปล่าเลยนะเนี่ย แกคงไม่ใช่ผู้ช่วยที่ถูกส่งมาโดยระบบหรอกนะ”
เสี่ยวหลันจื่อมองมันอย่างสงสัย หลังจากขุดต้นโสมที่หัวใหญ่เท่าต้นแขนของนางแล้ว เสี่ยวหลันจื่อจึงเก็บมันไว้ในไอเทมบ๊อกของนางเพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะออกจากภูเขาไป แล้วนางยังพาเจ้าสัตว์ตัวเล็กกลับไปด้วย เพราะยังรู้สึกสงสัยที่มาที่ไปของมัน