บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 อาหารมื้อแรก

ทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่อีกห้อง บ้านหลังนี้มีเพียงสองห้อง ห้องนี้คงเป็นห้องครัว ห้องรับแขก และก็ห้องกินข้าว ส่วนอีกห้องที่เธอเดินออกมามีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยคงเป็นห้องนอน

           คิ้วเรียวสวยแบบไม่ต้องขีดเขียนย่นเข้าหากันเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า ลูกน้ำเต้าอ่อนและผักปลังลวกเธอรู้จัก แต่อีกอย่างที่อยู่ในถ้วยเพียงใบเดียวมันคืออะไร ดูเหมือนจะเป็นไข่ แต่เป็นไข่ในน้ำมีพริกป่นด้วย อดใจไม่ไหวจึงถามออกไป “มันคืออะไรหรือคะ”

           คำพองวางถ้วยข้าวต้มตรงหน้าลูกสาวแล้วบอกออกไป “ป่นไข่จ้ะ” ครอบครัวเธอทำป่นไข่เป็นประจำแต่สงสัยคำแก้วจะลืมเพราะปกติลูกสาวคนนี้ก็จำอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว เงินที่โจรปล้นไปไม่หมดคำพองให้ลูกวิ่งไปซื้อไข่ที่ร้านค้ามาได้เพียงสามฟอง เธอต้องเก็บไว้กินหลายมื้อ จึงป่นเพียงฟองเดียว

           ป่นไข่? คำแก้วมองถ้วยข้าวต้มตรงหน้าตัวเองแล้วคิ้วก็บีบเข้าหากันแน่นขึ้น ครอบครัวเธอยากจนข้นแค้นถึงขั้นต้องต้มข้าวเหนียวกินเลยหรืออย่างไร ป่นไข่ก็คงจะเป็นไข่แค่ฟองเดียว แล้วใส่น้ำค่อนข้างเยอะมันถึงได้ใสแบบนี้ คนห้าคนกินป่นไข่หนึ่งฟองกับข้าวเหนียวต้มนี่นะ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้มีร่างกายผ่ายผอมเหมือนไม้เสียบผีเช่นนี้

           “กินข้าวกันเถอะ แม่กับน้องจะได้ไปรับจ้างตัดปอ” รับจ้างตัดปอของเสี่ยเสงี่ยมเช่นเดิม เพราะเขามีทั้งอ้อย ทั้งมันสำปะหลัง ข้าว และปอ

           ตัดปออย่างนั้นหรือ ปีนี้ปีพอศออะไรทำไมคนถึงยังนิยมปลูกปอกันอยู่อีก

           “แม่ไม่ต้องไปหรอกครับ แม่ไม่สบายวันนี้นอนพักเถอะครับ เดี๋ยวฉันกับน้องไปเองดีกว่า” คำพาพูดสวนขึ้น เพราะกลัวแม่จะไปเป็นลมเป็นแล้งที่ป่าปอเพราะช่วงกลางวันแดดร้อนจัด แค่เดินไปตัดปอระยะทางก็ไกลถึงห้ากิโลเมตรแล้ว

           “แต่แม่ทำ…”

           “ปล่อยให้ลูกไปสองคนน่ะดีแล้ว เอ็งก็พักบ้างเถอะ” เข้มก็รู้สึกผิดต่อลูกกับภรรยาเหมือนกันที่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ถึงลูกและภรรยาจะไม่ได้ตำหนิหรือรู้สึกว่าเขาเป็นภาระก็ตาม

           คำแก้วนั่งฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบ ๆ ตักข้าวต้มเข้าปากไปพลาง ๆ ลิ้มรสข้าวต้มกุ๊ยแบบใหม่ด้วยใจอันห่อเหี่ยว นี่เธอมาอยู่ในร่างใหม่ที่มีครอบครัวยากจนขนาดนี้เลยหรือนี่ เป็นลูกคนรวยอยู่ดี ๆ ฐานะก็แปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

           “เฮ้อ!” คำแก้วถอนหายใจออกมาดัง ๆ อย่างลืมตัว

           “พี่คำแก้วเป็นอะไรครับ กับข้าวไม่อร่อยเหรอ ผมไม่เห็นพี่ตักป่นไข่สักคำ”

           “เอ่อ…ปากพี่ยังไม่ค่อยรู้รสน่ะ พี่ก็เลยกินแค่ข้าวต้มเปล่าไปก่อน” ว่าแล้วคำแก้วก็หยิบขวดน้ำปลาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาเหยาะใส่ข้าวต้มเหนียวเพียงนิด เธอไม่ได้รังเกียจป่นไข่ เพียงแต่เธอกลัวว่าคนอื่นจะกินไม่อิ่ม คำแก้วจึงเลือกที่จะบอกกับน้องชายไปอย่างนั้น

           มือเล็กเอื้อมไปหยิบลวกผักปลังในจานแต่ก็โดนแม่ตีมือไว้เสียก่อน

           แปะ!

           คำแก้วหันหน้ามาหาแม่ด้วยความสงสัย

           “ปกติไม่ชอบกินผักปลังไม่ใช่รึ”

           “ก็ ก็ฉันอยากจะลองกินดูค่ะ ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร” เธอปดแม่ออกไป งงว่าทำไมแค่ผักปลังเธอถึงกินไม่ได้

           “คำแก้วกินไม่ได้ ต้องรักษาของ”

           “ของอะไรเหรอคะ”

           คำพองดึงมือข้างซ้ายเธอไปแล้วหงายท้องแขนขึ้นให้เห็นรอยสักรูปเสือ “ของนี่ไง ลูกห้ามกินผักปลังเด็ดขาด ของมันจะเสื่อม”

           “อ้อ ค่ะ” คำแก้วยิ้มแหยให้ทั้งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอมีของกับเขาด้วยหรือนี่ แล้วจึงเอ่ยถามต่อ “ตัดปอเขาจ้างกันยังไงหรือคะ”

           ทุกคนไม่ได้แปลกใจกับคำถามเพราะถึงแม้แม่จะเคยบอกแต่คนสมาธิสั้นอย่างคำแก้วคงจำไม่ได้แน่ “สิบมัดได้หนึ่งบาท” คำพองบอกลูก ซึ่งปอมัดหนึ่งก็มัดใหญ่มาก กว่าจะได้เงินบาทจากนายจ้างก็ยากอยู่เหมือนกัน

           หึ! สิบมัดได้หนึ่งบาท แล้ววันหนึ่งน้องสองคนนี้จะได้กี่มัดกัน คนละห้าบาทจะได้ไหม คำแก้วนึกค่อนขอดในใจ รู้สึกสงสารน้องทั้งสองขึ้นมาราวกับคำแก้วคนเดิมได้ถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างมาไว้ที่เธอทั้งหมดแล้ว

           คำพากับคำแพงห่อข้าวต้มกับเกลือไปตัดปอ แม่ขึ้นไปนอนบนเรือน ใบหน้าเธอดูอ่อนล้าเต็มที ส่วนพ่อนั่งฝนยาแก้ไข้ให้แม่อยู่ที่ส่วนระเบียงที่ยื่นออกมาด้านนอกและมีบันไดพาดผ่านหรือเรียกอีกอย่างว่าชานบ้าน

           คำแก้วเดินหลบไปหลังบ้าน ยืนมองกระท่อมหลังเล็กที่ทุกคนเรียกว่าบ้านด้วยใจอันหดหู่ ปล่อยน้ำตาที่อยากจะไหลมานาน ไหลเอ่อออกมาจนเต็มสองแก้ม จากที่เคยอยู่คอนโดฯ มีที่นอนนุ่ม ๆ มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มีรถยนต์ส่วนตัวขับ แต่ตอนนี้แม้แต่ควายสักตัวก็ไม่มีให้ขี่ แม่ของเธอบอกว่าปีนี้ปีพอศอสองพันห้าร้อยห้า

           ให้ตายเถอะ! มันโบราณมากจริง ๆ แล้วเธอจะอยู่ยังไงให้รอด

           “ทำกรรมอะไรไว้วะ ถึงต้องกลายเป็นคนยากไร้เช่นนี้” เธอตัดพ้อชีวิตตัวเอง กำลังจะรับปริญญาอยู่แล้วเชียว อยู่ดี ๆ บทจะตายก็ตายง่ายเหลือเกิน พอมีโอกาสได้มีชีวิตใหม่กลับได้ชีวิตที่ติดดินเหลือเกิน ที่คิดอย่างนั้นก็เพราะเธอไม่มีแม้รองเท้าจะสวมใส่ จากเท้าเล็ก ๆ กลายเป็นเท้าบานไปแล้ว

           คำแก้วหันหลังให้บ้านแล้วหย่อนกายลงนั่งบนพื้นหญ้ามองสายน้ำใสที่ไหลผ่านบ้านของเธอไปไกลโพ้น จากนั้นก็มองภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เมื่อได้มองสายน้ำกับป่าเขียวชอุ่มจิตใจมันก็เย็นลงบ้าง ถ้าตอนนี้เธอแค่มาทัศนศึกษาที่ตรงนี้ก็ถือว่าน่าอยู่มากทีเดียว

           คำพองแง้มหน้าต่างมองลูกสาวขณะที่สามีนำยามาให้ แล้วโบ้ยหน้าไปทางลูกสาว “นึกยังไงถึงได้ไปนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น” ปกติหลังกินข้าวเสร็จถ้าไม่ได้ไปทำงานกับแม่ คำแก้วจะชอบเล่นขายของอยู่คนเดียว พูดคนเดียว

           เข้มสังเกตว่าลูกสาวเปลี่ยนไปหลายส่วนเช่นกัน แต่คงเป็นเพราะเพิ่งหายไข้กระมัง “คงอยากนั่งเล่นเงียบ ๆ ล่ะมั้ง” บางครั้งลูกสาวคนนี้ก็อารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเช่นกัน ถึงสมองเธอจะไม่ปกติแต่ทุกคนก็รักและเป็นห่วงเธอเหมือนดังแก้วตาดวงใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel