ตอนที่ 5 รอยสัก
คำแก้วยกแขนข้างที่มีรอยสักขึ้นมาดูอีกครั้งเสือตัวนั้นเป็นการสักน้ำมันภาพของมันคมชัดเหมือนเสือมีชีวิตจริง ๆ นัยน์ตาเคร่งขรึมของมันกำลังจ้องหน้าเธอเขม็ง แต่คำแก้วก็มองมันกลับไม่วางตาเช่นกัน
“กลิ่นดอกไม้หอมมาจากไหนกัน” คำแก้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ เธอยกแขนตัวเองขึ้นแล้วสูดดมตรงรอยสักนั้น “อือ มาจากตรงนี้นี่เอง ทำไมมันถึงมีกลิ่นหอมได้นะ” คำแก้วสงสัยหนักขึ้น
มือเล็กลูบรอยสักนั้นเบา ๆ
ดวงตาดำขลับเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นเมื่อรอยสักนั้นกลายเป็นห้องมิติที่มีประกายสีเงินระยิบระยับ ภายในนั้นมีปืนสั้น มีดสั้น เครื่องมือล่าสัตว์และอุปกรณ์ป้องกันตัวอีกหลายอย่าง สำคัญกว่านั้นมันมีเครื่องช็อตไฟฟ้าแบบพกพาด้วย
“โอ้! นี่มันอะไรกัน” คำแก้วอุทานตาโตหัวใจเต้นรัวแรง เธอหยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาดู “เฮ้ย! ใช้ได้จริงอีกด้วย” ด้วยความตื่นเต้นคำแก้วลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดโลดเต้นหัวเราะร่าอยู่คนเดียว เธอชอบเดินป่าเขาลำเนาไพร มีเครื่องมือล่าสัตว์แบบนี้ก็ดีสิ จะได้ช่วยครอบครัวหาอาหาร ไม่ต้องมานั่งกินไข่มื้อละฟองเช่นนี้
“พี่ดูคำแก้วสิเล่นอยู่คนเดียว ดีใจอยู่คนเดียว” คำพองมองลูกสาวด้วยความเอ็นดู
“ก็เป็นเรื่องปกติของลูกอยู่แล้วนี่” บางครั้งคำแก้วก็ร้องไห้อยู่คนเดียว หัวเราะคนเดียวเป็นประจำ
ทั้งสองรู้สึกดีใจที่พอลูกหายป่วยเธอก็ดูสดใสร่าเริงขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะก่อนหน้านี้ส่วนมากคำแก้วเอาแต่นั่งหงอยเหงาทั้งวัน จะอารมณ์ดีขึ้นก็ต่อเมื่อพ่อให้ช่วยรดน้ำผักและเล่นน้ำในลำธาร
ช่วงกลางวันคำแก้วเห็นพ่อเดินกะเผลก ๆ เก็บผักเธอจึงเดินไปหา สงสารพ่อเหลือเกินไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้โดนตัดขาข้างหนึ่งแบบนั้น “พ่อเก็บผักอะไรหรือคะ”
“ผักโขม เก็บเอายอดอ่อนและดอกอ่อนของมัน” เข้มบอกลูกสาวเสียงเย็น
“พ่อจะทำอะไรกินหรือคะ”
“ต้มใส่ข้าว”
หา! ต้มผักโขมใส่ข้าว คำแก้วอึ้งไปพักหนึ่ง นั่นมันอาหารของหมูนะคะคุณพ่อ เธอเพิ่งเคยได้ยิน แต่ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่เธอต้องปรับตัวให้ไว ไม่เช่นนั้นเธอจะอดตาย มีอะไรให้เอาเข้าปากก็เอาเข้าไปก่อน คนอื่นกินได้เธอก็ต้องกินได้เหมือนกัน
ว่าแล้วคำแก้วก็ก้มลงเด็ดยอดและดอกอ่อนของผักโขมช่วยพอด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ความจริงแล้วไอ้ผักชนิดนี้มันก็มีวิตามินอยู่หลายตัวเช่นกัน กินแล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
เข้มมองลูกสาวด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปมากขึ้น ปกติถ้าไม่สอน คำแก้วจะทำอะไรไม่เป็น ถึงทำเป็นก็ต้องคอยย้ำบ่อย ๆ เธอไม่สามารถตัดสินใจเองได้ แต่นี่เธอกลับเลือกยอดอ่อนและดอกอ่อนของผักโขมได้อย่างสวยงาม เดิมทีคำแก้วไม่สามารถแยกดอกอ่อนกับดอกแก่ของผักโขมได้ และสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างที่เขาสัมผัสได้จากตัวลูกสาวก็คือกลิ่นกายที่หอมกรุ่นเฉกเช่นกลิ่นดอกมหาหงส์ คนที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาโมกย่อมรู้จักกลิ่นนี้ดี
“เดี๋ยวฉันเอาไปล้างให้นะคะ”
“ล้างเป็นเหรอ?” ไม่ หมายถึงเธอล้างผักสะอาดอย่างนั้นเหรอ
“เป็นค่ะ พ่อไปรอบนบ้านเถอะค่ะ” คำแก้วบอกพ่อเสียงใส แค่ล้างผักทำไมจะทำไม่เป็น
“อืม พ่อไปก่อไฟรอนะ” ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเปลี่ยน
“ค่ะ”
คำแก้วเดินลงไปยังลำธารที่มีน้ำใส เธอรวบชายผ้าถุงขึ้นแล้วเดินลงไปในลำธารตรงจุดที่น้ำสูงเพียงแข้งจากนั้นก็ล้างผักให้สะอาด เสร็จแล้วนำผักไปให้พ่อ คิดในแง่ดีว่าการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดินพื้นหญ้าแบบนี้ก็ถือว่าเป็นการกราวดิ้งอย่างหนึ่ง เพียงแต่ต้องกราวดิ้งทั้งวันก็แค่นั้นเอง
เดินมาถึงบันไดพ่อกำลังจะลงไปด้านล่างพอดี
“พ่อจะไปไหนเหรอคะ”
“ไปเอาฟืน”
“อ้อ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ค่ะ อยู่ตรงไหนเหรอคะ”
“นั่งไง พ่อผ่ากองไว้ใต้ต้นมะขามเทศ” เข้มชี้นิ้วบอกลูก
คำแก้วยื่นตะกร้าผักให้พ่อแล้วเดินไปยังกองฟืนที่พ่อบอก เข้มมองตามลูกด้วยความแปลกใจ คำแก้วไม่ใช่เด็กชอบอาสา ถ้าไม่บอกเธอก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็นแต่ว่าตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาคราวนี้ดูท่าทางกระฉับกระเฉงมากขึ้น ชอบอาสาทำนั่นทำนี่ หรือว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเรื่องจริง