ตอนที่ 3 ร่างใหม่
เช้าวันใหม่ที่แสนเร่งรีบวิไลลักษณ์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสามเพื่อมาอาบน้ำเตรียมตัวไปงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดของเธอ พ่อกับแม่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวาน เธอเรียนจบคณะเกษตรศาสตร์ ความฝันหลังเรียนจบเธออยากเปิดร้านขายพันธุ์ไม้อยู่ทางภาคอีสานสักแห่ง และเธอก็ได้เริ่มทำมันแล้ว เพราะสี่ปีที่เรียนอยู่ที่นี่เธอซึมซับเอาความเป็นอีสานเข้าไปทั้งภาษาและวัฒนธรรม เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นคนภาคอีสานทั้งนั้น พ่อกับแม่เองยังนึกเป็นห่วงที่ลูกสาวไม่ยอมกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะหลังเรียนจบช่วงรอรับปริญญาเธอก็ยังขายต้นไม้อยู่ที่ภาคอีสาน
วิไลลักษณ์ยืนรีดเสื้อผ้าอยู่ภายในห้องนอนที่คอนโดฯ เพียงลำพัง จู่ ๆ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเพราะความดีใจกับความสำเร็จของตัวเองก็หุบยิ้มลงทันควัน เธอหลับตาแน่นมือบางยกขึ้นกุมศีรษะตัวเอง ทำไมถึงได้รู้สึกมึนศีรษะแบบนี้ มือที่จับเตารีดรีบหรี่ไฟลงจนสุด ร่างที่ยืนอยู่อย่างมั่นคงในคราแรกกำลังโอนเอียง เธอลืมตาไม่ได้เลยเพราะตอนนี้ห้องมันกำลังพาเธอหมุน และยังดูมืดดำไปหมด ไม่ถึงสองนาทีร่างอรชรก็ล้มลงไปนอนกับพื้น ลมหายใจเริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ แล้วก็แน่นิ่งไปในที่สุด
ร่างโรยแรงที่นอนนิ่งอยู่ภายในห้องมาหลายวันค่อย ๆ ขยับกายทีละส่วน เปลือกตาอันหนักอึ้งถูกเปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตากลมโตแต่นัยน์ตาแดงก่ำกลอกมองไปรอบทิศ บ้านทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง ด้านข้างมีช่องคล้ายกับหน้าต่างเปิดไว้เพื่อให้ลมโกรกเข้ามา หลังคามุงด้วยหญ้าคา สายตาเหลือบมองต่ำลงมาที่พื้นที่เป็นไม้ไผ่เช่นกัน ทุกส่วนของบ้านดูยังไม่เก่ามากนัก บนพื้นมีเพียงเสื่อหนึ่งผืนที่เธอนอนอยู่เท่านั้นที่ค่อนข้างเก่าคร่ำคร่า แต่ทว่าภายในห้องนี้ก็เล็กกว่าคอนโดฯ ของเธอหลายเท่า
วิไลลักษณ์ค่อย ๆ ใช้สองมือยันกายลุกขึ้นด้วยความมึนงง เธอกำลังฝัน มือน้อยลูบแผ่นไม้ไผ่ที่ปูพื้นเบา ๆ เธอสัมผัสได้ถึงความแข็งได้อย่างสมจริง เธอต้องทำอะไรสักอย่างจะมานั่งฝันนอนฝันอยู่แบบนี้ไม่ได้ วันนี้เธอต้องรีบไปแต่งหน้าเพื่อไปรับปริญญาในช่วงบ่าย คิดได้ดังนั้นสองมือก็ตบเข้าที่หน้าตัวเองแรง ๆ ทั้งสองข้างจนหน้าหัน
เพียะ! เพียะ!
“โอ๊ย! ทำไมเจ็บจริงวะ” วิไลลักษณ์หลุดปากร้องออกมาเสียงดัง เธอก้มมองฝ่ามือของตัวเองสายตาไล่ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มือไม่ใช่ นิ้วไม่ไช่ ผิวพรรณและรูปร่างก็ไม่ใช่ ถึงมันจะไม่ได้ดูแย่มากแต่ร่างนี้ก็ผอมเกินไป เนื้อตัวมีแต่รอยแผลที่น่าจะเกิดจากมดหรือแมลงต่าง ๆ กัด เธอเบิกตากว้าง เนื้อตัวสั่นเทา ลำคอแห้งผาก เมื่อเห็นรอยสักรูปหัวเสืออยู่ที่ส่วนท้องของข้อมือข้างซ้ายของตน ร่างนี้ไม่ใช่ร่างของเธอแน่นอน
แอ๊ดดดดด!
สติยังไม่ทันกลับมาดีก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามาก่อน พร้อมกับร่างของเด็กผู้หญิงเดินเข้ามา วิไลลักษณ์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง
“พี่คำแก้ว! พี่คำแก้วฟื้นแล้ว” เด็กหญิงวัยแรกรุ่นเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอีสาน ภาษาที่เธอค่อนข้างคุ้นเคยจนสามารถพูดได้คล่อง เพราะใช้กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยทุกวัน ไม่ถึงนาทีก็มีคนอีกสามคนวิ่งเข้ามาในห้อง คำพองได้ยินเสียงคำแพงบอกว่าคำแก้วฟื้นแล้วก็รีบวิ่งออกจากครัวจนลืมไปว่าตัวเองกำลังป่วย เข้มกับคำพากำลังช่วยกันรดน้ำผักสวนครัวอยู่ก็รีบวิ่งขึ้นมาดูเช่นกัน
ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเรียวแต่อิดโรยของคำแก้ว
“คำแก้วลูกแม่ฟื้นแล้ว” คำพองนั่งลงข้างที่นอนลูก คนอื่น ๆ ก็นั่งตาม เธอสลบไปสี่วันเต็มไม่มีใครคิดว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีก หลวงตาโมกที่วัดป่าก็บอกให้ทำใจไว้แล้ว
คำแก้ว! ลูก! หมายความว่าอย่างไร? ดวงตากลมคู่นั้นฉายแววดูสับสน เธอสูดหายใจเข้าลึกและตั้งสติเพื่อลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอตื่นขึ้นมารีดผ้า แต่ด้วยความที่เมื่อคืนนอนดึกเพราะมัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจึงนอนไม่ค่อยหลับ เธอรู้สึกมึนศีรษะเพราะนอนน้อยและอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นโรคความดันต่ำอยู่แล้วจึงทำให้เธอ…เป็นลมหมดสติและทุกอย่างก็มืดสนิทในเวลาต่อมา
รู้สึกตัวอีกทีก็มานอนอยู่ตรงนี้แล้ว
แล้วที่นี่คือที่ไหน ทุกคนที่มองเธอหน้าสลอนอยู่ตอนนี้เป็นใครกัน ดูจากการแต่งกายก็น่าจะไม่ใช่ยุคปัจจุบัน วิไลลักษณ์ยังทำหน้างง
“คำแก้วจำพ่อกับแม่ไม่ได้หรือลูก” ผู้ชายอายุราวสี่สิบต้นเอ่ยถาม เมื่อเห็นแววตาสับสนของลูก ขาของชายคนนั้นข้างหนึ่งพิการ มีผ้าฝ้ายสีขาวพันแผลเอาไว้
วิไลลักษณ์ไล่สายตามองหน้าทีละคน ความทรงจำร่างเดิมค่อย ๆ กระจ่างชัดขึ้น แต่ทำไมความทรงจำมันถึงได้มีน้อยนิดเพียงนี้ เธอรู้เพียงว่าร่างนี้ชื่อคำแก้วอีกเดือนเดียวอายุก็จะครบสิบแปดปีเต็ม ชายหญิงวัยกลางคนนี้คือแม่คำพองกับพ่อเข้ม เด็กผู้ชายคนที่นั่งถัดจากแม่คือน้องคำพา ส่วนผู้หญิงน้องเล็กสุดของบ้านก็คือคำแพง ในความทรงจำของหล่อนตอนนี้ทราบแค่นี้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น วิไลลักษณ์พยายามกลืนน้ำลายที่แทบจะไม่มีลงคอสามสี่ครั้ง ถึงจะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เธอก็ต้องควบคุมสติให้ดี ห้ามกระโตกกระตาก และต้องพิสูจน์ให้แน่ชัด วิไลลักษณ์ตัดสินใจเอ่ยถามออกไปว่า “ฉันเป็นอะไรไปคะ” เธอพูดภาษาเดียวกันกับทุกคน
คำพองยิ้มออกมาพร้อมกับหยดน้ำใสไหลรินออกมาจากตาด้วยความดีใจสุดซึ้ง “เอ็งเป็นไข้ไม่ได้สติมาสี่วันแล้ว ก่อนจะหมดสติก็ไข้สูงมาเกือบสองอาทิตย์ แม่คิดว่าเอ็งจะไม่ฟื้นกลับมาหาพวกเราเสียแล้ว” พูดพลางยกมือหยาบกร้านขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง
“พี่คำแก้วลุกไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ พี่ไม่ได้กินข้าวตั้งหลายวัน” คำแพงกล่าว ผู้เป็นแม่เอื้อมมือไปลูบคลำใบหน้าลูกสาวอย่างทะนุถนอม เลื่อนมือมาตามแขนอันเรียวเล็กแผ่วเบา แท้จริงแล้วคำที่หลวงตาบอกว่าคำแก้วชะตาขาดมันก็เป็นแค่คำพูดแก้เคล็ดเท่านั้น
“ลุกไหวไหม มา เดี๋ยวแม่ช่วย” คำพองช่วยพยุงลูกสาวลุกขึ้น คนอื่นเดินไปข้างนอกแล้ว ส่วนพ่อของเธอก็ใช้ไม้ค้ำงอเข่าขาข้างพิการไว้แล้วเดินตามหลังคำพากับคำแพงออกไป ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี
“ฉันเดินเองได้ค่ะแม่” ถึงจะรับรู้ได้ว่าร่างนี้ผอมแห้งเพราะล้มป่วยมาหลายวัน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนแรงอีกแล้ว อยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่าพลังมาจากไหนถึงได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนไม่เคยป่วยมาก่อน
แปลกจริง แต่ก็ดีแล้ว เธอไม่ชอบตอนร่างกายป่วยเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวล้มหัวฟาดพื้นไปจะแย่” แม่พูดดังนั้นคำแก้วจึงตามใจ