บทที่5 ตัดขาดความสัมพันธ์
เจิ้งซูอี้ไร้ความหวั่นเกรงต่อแม่เฒ่าจาง นางหาใช่หลิวอันอันที่ถูกรังแกมาตั้งแต่เกิดผู้นั้น นางจ้องกลับแม่เฒ่าจางตรงๆ ไม่ก้มหน้าตัวสั่นเหมือนแต่ก่อน
“ว่าอย่างไรคุยกันมาตั้งนานพวกท่านจะยอมคืนที่ดินที่เป็นของท่านปู่ข้ามาหรือจะให้เราไปตีกลองร้องทุกข์ที่อำเภอ ว่าซิ่วไฉตระกูลหลิวอกตัญญูทั้งยังคิดฮุบเอาสมบัติของผู้ที่ส่งเสียเขาเล่าเรียนไปเป็นของตนเอง พวกท่านคิดว่าที่สถานศึกษาที่หลิวฟู่เฉิงไปจะยังมีใครยอมคบหากับเขาอีกหรือไม่ ดีไม่ดีเขาอาจต้องคืนตำแหน่งซิ่วไฉที่ได้มาอย่างยากลำบากไปด้วยก็ได้”
เจิ้งซูอี้รู้จุดอ่อนของคนตระกูลหลิวดีเพราะนางเป็นถึงผู้นำทัพหน้าเรื่องแค่นี้นางมีหรือจะมองไม่ออก คนตระกูลหลิวถึงกับอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะต้องตอบโต้กลับไปอย่างไร จางซานเหนียงดึงแขนเสื้อแม่เฒ่าหลิวอยู่อย่างนั้น นางกลัวว่าเจิ้งซูอี้จะทำอย่างที่นางพูดจริงๆ หากต้องคืนตำแหน่งซิ่วไฉไปนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกครั้งที่นางกลับบ้านเดิมทุกคนต่างก็นอบน้อมเกรงใจนางเพราะนางมีบุตรชายเป็นซิ่วไฉ
แม่เฒ่าจางถลึงตาใส่สะใภ้ใหญ่ของตน นางคิดว่าวันนี้คงจะจัดการกับคนบ้านหลิวตงจวิ้นไม่ได้แน่ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของนาง แม่เฒ่าจางล้มตัวลงแสร้งเป็นลมทันทีจางซานเหนียงที่ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางแกล้งแสดงจึงตกใจร้องออกมาเสียงหลง
“ท่านแม่ท่านเป็นอะไรไปฟื้นขึ้นมาสิเจ้าคะ หมอใครก็ได้เรียกท่านหมอหลี่ให้ที”
จางซานเหนียงเขย่าร่างแม่สามีแรงๆ แม่เฒ่าจางแอบหยิกแขนจางซานเหนียงเพื่อให้นางรู้ตัวว่านางแกล้งเป็นลมเท่านั้น แต่จางซานเหนียงกลับคิดว่านางกำลังชักเกร็ง
“ท่านแม่ชักเกร็งแล้วเร็วเข้ารีบหน่อย”
แม่เฒ่าจางได้แต่กัดฟันก่นด่าลูกสะใภ้ที่แสนโง่งมของตนในใจ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเจิ้งซูอี้ นางหันไปกระซิบบอกบางอย่างกับหลิวซีฮัน เมื่อเด็กชายได้ฟังก็พยักหน้าจากนั้นจึงวิ่งไปที่หลังเรือนอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านที่มามุงดูต่างขยับออกเพื่อให้แม่เฒ่าจางได้รับอากาศถ่ายเทเพราะพวกเขาคิดว่านางเป็นลมไปแล้วจริงๆ หลิวซีฮันวิ่งกลับมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ เขายื่นมันให้กับเจิ้งซูอี้
“ท่านพี่”
นางรับกระบอกไม้ไผ่มาจากนั้นจึงยิ้มอย่างมีเลศนัย ไส้เดือนนับร้อยตัวที่หลิวซีฮันและหลิวอันอันไปขุดเพื่อนำมาเป็นอาหารไก่ป่าที่หลิวตงจวิ้นจับมาเมื่อสองวันก่อน ตอนแรกพวกเขาจะนำมันไปขายแต่วันต่อมามันได้ออกไข่สองฟองหลิวซีฮันจึงขอร้องบิดาไม่ให้ขายมันและยังบอกว่าเขาจะเลี้ยงมันเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเลี้ยงมันเอาไว้หลังบ้าน
เจิ้งซูอี้เดินไปด้านหลังของจางซานเหนียงตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครรู้นางเทไส้เดือนออกจากกระบอกไม้ไผ่ลงไปที่ตัวแม่เฒ่าจาง ไส้เดือนนับร้อยดิ้นยั้วเยี้ยบนร่างของนาง จางซานเหนียงทิ้งแม่เฒ่าจางที่นอนพิงนางอยู่กระโดดหนีด้วยความขยะแขยง
แม่เฒ่าจางที่แสร้งเป็นลมหรี่ตาขึ้นดูเมื่อเห็นไส้เดือนยั้วเยี้ยเต็มหน้าอกตนเองนางก็กรีดร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด เจิ้งซูอี้ปิดปากหัวเราะด้วยความสนุกสนาน
“นางเด็กสารเลวแกกล้าดีอย่างไรเอาไส้เดือนมาเทใส่ข้า”
แม่เฒ่าจางชี้หน้าด่าเจิ้งซูอี้เสียงดัง นางยักไหลทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่เป็นลมต่อแล้วหรือยายเฒ่า”
เจิ้งซูอี้ตอกกลับนาง ชาวบ้านเหมือนจะเข้าใจความหมายของเจิ้งซูอี้ทันที
“เลิกเล่นแง่เสียที จะคืนมาดีๆ หรือต้องให้ข้าไปป่าวประกาศเรื่องของหลานชายท่าน”
แม่เฒ่าจางได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ หากต้องแลกที่ดินกับชื่อเสียงของหลานชายนางแล้วนั้น แม่เฒ่าจางชั่งใจอย่างตัดสินใจไม่ได้
“ท่านย่า”
หลิวฟู่เฉิงเรียกแม่เฒ่าจางอย่างไม่สบายใจ เมื่อได้ยินเสียงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนแม่เฒ่าจางก็ตัดสินใจได้ทันที
“ได้ข้าจะคืนที่ดินให้พวกเจ้า แต่เพียงแค่ที่ดินครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งข้าจะถือว่าเป็นค่าเลี้ยงดูหลิวตงจวิ้น”
เหอะ!!สุดท้ายยายเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่คิดที่จะยอมรามือจากที่ดินของท่านปู่หลิวอันอัน ช่างเถอะได้มาครึ่งหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“เช่นนั้นท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยเป็นพยานด้วยนะเจ้าคะ และช่วยเขียนหนังสือตัดขาดเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างบิดาของข้าและตระกูลหลิวด้วยว่า ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตามพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่เช่นนั้นต่อไปพวกเขาจะต้องมารังควานบ้านข้าไม่จบไม่สิ้นเสียที”
เจิ้งซูอี้พูดจบก็หันไปมองแม่เฒ่าจางและคนบ้านหลิวคนอื่นๆ
“เจ้า!!นางเด็กสารเลว”
แม่เฒ่าจางชี้มาที่เจิ้งซูอี้ด้วยนิ้วอันสั่นเทา นางไม่สนใจคนไร้ค่าพวกนั้นหลังจากแบ่งที่ดินและเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยคนสกุลหลิวและชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงสามสี่คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวตงจวิ้นที่ยังอยู่คุยกับพวกเขา
“อาจวิ้นเจ้าทำเช่นนี้ข้าคิดว่ามันดีต่อลูกเมียของเจ้าแล้วล่ะอย่าได้คิดมากเลย”
สหายที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาที่ช่วยพูดออกหน้าให้ก่อนหน้านี้ชื่อว่าอู๋เซียนเว่ย มองท่าทางของหลิวตงจวิ้นที่ดูเหมือนจะไม่สบายใจ จึงเอ่ยปลอบสองสามคำ