บทที่4 นางเด็กปีศาจ
เจิ้งซูอี้เอามือไพล่หลังยืนคุยกับหลิวเจี้ยนกั๋วด้วยท่าทางสง่างามต่างจากนางคนเดิมที่เอาแต่ก้มหน้าหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา มองดูแล้วช่างแปลกตายิ่งนัก เพราะนางติดนิสัยยามเมื่อคุยกับเหล่าทหารใต้บัญชาจึงทำให้นางแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้า..!!”
ผู้เฒ่าหลิวไม่สามารถโต้แย้งนางได้เพราะสิ่งที่เจิ้งซูอี้พูดนั้นล้วนแต่เป็นความจริง
“เจ้าพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทั้งหมด”
เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากด้านหลังของชาวบ้าน พวกเขาต่างแหวกออกเป็นสองทางให้ชายหนุ่มรูปงานในชุดบัณฑิตสีขาวเดินเข้ามา ในความทรงจำของหลิวอันอันเด็กหนุ่มมผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของนางชื่อหลิวฟู่เฉิงบุตรชายของหลิวตงหัวกับจางซานเหนียงสะใภ้ใหญ่
หลิวฟู่เฉิง เป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของแม่เฒ่าจางนางทั้งรักทั้งหลงหลานชายผู้นี้มาก มีสิ่งใดที่ดีนางจะประเคนให้เขาทั้งหมดแม้แต่หลิวเฟยหลงบุตรชายคนเล็กของนางที่นางรักมากยังเป็นรอง ไข่ไก่ก็เช่นเดียวกันไข่ทุกฟองในเล้านางจะนับเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเก็บเอาไว้ให้หลิวฟู่เฉิงกินคนเดียว แม้แต่ผู้เฒ่าหลิวเองก็ไม่มีสิทธิ์ได้กิน
“ท่านอารองได้ท่านปู่กับท่านย่าเลี้ยงดูมาจนโตหากจะกตัญญูแทนบิดาแท้ๆ ของเขาก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ”
หลิวฟู่เฉิงใช้ความกตัญญูเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อยึดทรัพย์สินของหลิวตงเฟิงปู่ของหลิวอันอัน และดูเหมือนชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของบัณฑิตซิ่วไฉผู้นี้ เขาสอบได้ซิ่วไฉเมื่อปีก่อนทำให้ชาวบ้านต่างให้ความนับถือ คนสกุลหลิวเดินยืดอกเชิดหน้าได้ก็เพราะเขา แต่ทุนในการศึกษาของหลิวฟู่เฉิงล้วนมาจากทรัพย์สินของหลิวตงเฟิงและเงินของหลิวตงจวิ้นที่ทำงานหามา
ก่อนที่หลิวฟู่เฉิงจะเข้าสอบซิ่วไฉผู่เฒ่าหลิวต้องการให้แยกบ้าน แต่มีเพียงหลิวตงจวิ้นเท่านั้นที่ต้องออกจากบ้านตระกูลหลิวมาอยู่กระท่อมที่ห่างไกล เมื่อหมดประโยชน์คนพวกนี้ก็เฉดหัวหลิวตงจวิ้นและครอบครัวออกมาเพราะไม่ต้องการให้พวกเขามีส่วนร่วมกับเกียรติยศที่หลิวฟู่เฉิงนำมาสู่ตระกูล
“ออ...อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นที่ท่านพ่อของข้าทำมาตลอดยี่สิบปียังทดแทนบุญคุณของพวกเจ้าไม่หมดอีกอย่างหรือ ในที่นี้มีใครไม่รู้บ้างว่าท่านพ่อของข้าทำงานหาเงินเลี้ยงดูพวกเจ้าตระกูลหลิวทุกคน ข้าถามหน่อยทุกวันนี้เงินที่เจ้านำกลับไปที่สถานศึกษานั้นเป็นผู้ใดที่หามา ท่าพ่อหรือท่านแม่ของเจ้า”
เจิ้งซูอี้พูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าหลิวฟู่เฉิงและคนตระกูลหลิวในความทรงจำของหลิวอันอันที่หลิวตงจวิ้นเคยเล่าให้ฟัง เขาออกจากตระกูลหลิวตอนอายุสิบห้าไปทำงานเป็นผู้คุ้มกันสินค้า เงินทั้งหมดที่เขาหามาล้วนแต่ส่งมาที่ตระกูลหลิวทั้งหมด
พออายุยี่สิบเขาได้พาหวังเจียอี๋กลับมาที่สกุลหลิวด้วย ทั้งสองไม่แม้แต่จะได้จัดงานแต่งงาน ตั้งแต่นั้นมาตลอดสิบห้าปีทั้งหลิวตงจวิ้นและหวังเจียอี๋ต่างก็กลายเป็นเสาหลักทำงานหาเงินมาให้คนตระกูลหลิวใช้แต่คนทั้งสองกลับไม่เคยปริปากบ่น พวกเขาทำได้เพียงยอมรับและอดทนเท่านั้น
จนกระทั่งก่อนสอบซิ่วไฉของหลิวฟู่เฉิงผู้เฒ่าหลิวได้คุยเรื่องการแยกบ้านกับหลิวตงจวิ้น ผู้เฒ่าหลิวให้พวกเขาแยกออกไปโดยมีมันเทศไม่กี่ชั่งกับที่นอนเก่าๆ และเสื้อผ้าเท่านั้น แต่หลิวตงจวิ้นกลับรู้สึกโล่งใจที่ตนจะได้พาครอบครัวหลุดพ้นเสียที
แต่แล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ถึงพวกเขาจะแยกบ้านออกมาทั้งภรรยาและบุตรสาวบุตรชายยังต้องไปทำงานรับใช้คนตระกูลหลิวอยู่ดี ทำงานหนักให้พวกเขาเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถกินอาหารของตระกูลหลิวได้ เพราะแม่เฒ่าหลิวให้เหตุผลว่าพวกเขาได้แยกบ้านกันแล้ว แต่เมื่อยามต้องทำนาคนทั้งบ้านเขาจะต้องไปช่วยพวกเขาจนกว่าจะเสร็จ ทั้งที่ทำนาช่วยคนตระกูลหลิวแต่พวกเขากลับต้องกลับมากินอาหารของตนเอง
หลิวตงจวิ้นไม่เคยเอ่ยต่อว่าเพราะเขาคิดว่าเพียงแค่ก้มหน้าทำไปให้จบๆ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกัน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะสิ้นสุดความอดทนของเขาแล้ว คนซื่อตรงอย่างหลิวตงจวิ้นถึงกับเถียงแม่เฒ่าหลิวออกมา ยอมกลายเป็นคนอกตัญญูในสายตาของชาวบ้านเพื่อให้ครอบครัวตนเองได้หลุดพ้น
“หึ!! เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยหลิวฟู่เฉิงบัณฑิตซิ่วไฉผู้มีความรู้กว้างขวาง เจ้าที่รับเงินจากท่านพ่อของข้าไปเคยทำสิ่งใดตอบแทนพวกข้าบ้าง นอกจากสอบซิ่วไฉได้อันดับกิ๊กก๊อกเท่านั้น เงินที่เจ้าเอาไปผลาญที่สำนักศึกษาพาพวกสหายของเจ้าไปดื่มกินที่เหลาสุราทั้งหมดนั่นเป็นเงินที่พวกข้าหามา แล้วซิ่วไฉอย่างเจ้าจะตอบแทนบุญคุณพวกเราอย่างไร”
ชาวบ้านต่างมองไปที่หลิวฟู่เฉิงเป็นตาเดียว ถึงตระกูลหลิวจะค่อนข้างมีหน้ามีตาที่หมู่บ้านนี้ แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพียงชาวนาธรรมดาเท่านั้น การจะไปดื่มกินที่เหลาอาหารนับเป็นเรื่องที่ห่างไกลยิ่งนัก
“เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอันใด”
เจิ้งซูอี้เดินวนรอบตัวหลิวฟู่เฉิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางยกมือขึ้นลูบปลายคางตนเอง ท่าทางของนางช่างยียวนชวนให้คนมองแล้วอดโมโหไม่ได้
“ก็ท่านพ่อที่แสนลำบากของข้านำของป่าไปขายในอำเภอจึงทันได้เห็นเจ้าสุขสำราญอยู่กับเหล่าสหาย ปล่อยให้พวกข้าทำงานงกๆ เพื่อหาเลี้ยงเจ้า พวกท่านไม่รู้สึกว่าเขาควรกตัญญูต่อพวกข้าบ้างหรือ”
เจิ้งซูอี้หันไปมองช่าวบ้านหลังจากที่พูดประโยคสุดท้าย ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด ในความทรงจำของหลิวอันอันหลังจากที่หลิวตงจวิ้นกลับมาเขาก็มีท่าทางเซื่องซึมและได้เล่าเรื่องที่เขาเห็นหลิวฟู่เฉิงกระทำตอนอยู่ในเมือง พอหันกลับมามองลูกเมียของตนที่ต้องทนลำบากทำงานเพื่อให้พวกเขาสุขสบายแล้ว เขารู้สึกเหมือนคนโง่ยิ่งนัก
“ที่หลิวอันอันพูดก็ถูก ตลอดสิบกว่าปีมานี้ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาหยุดทำงานเลยสักวัน พอแยกบ้านออกมาแล้วยังต้องกลับไปทำงานที่ตระกูลหลิวอีก ดูบ้านที่พวกเขาอยู่ตอนนี้สิลมพัดเบาๆ ก็แทบจะพังลงมาแล้วกระมัง แล้วดูคนบ้านหลิวทั้งแต่งตัวดีเสื้อผ้าไม่มีรอยปะชุนช่างแตกต่างจากพวกเขายิ่งนัก”
ชาวบ้านวัยใกล้เคียงกับบิดาของหลิวอันอันพูดขึ้น ท่าทางเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวตงจวิ้นเขาถึงได้ช่วยออกหน้าพูดแทน เจิ้งซูอี้พยักหน้าขอบคุณ
“พวกเจ้าอย่ามาสอดนี่เป็นเรื่องในบ้านสกุลหลิวของข้า”
แม่เฒ่าจางตวาดแหวออกมาเสียงดัง ชายผู้นั้นถึงกับต้องเงียบไปเพราะไม่ต้องการมีปัญหากับนาง
“ถ้าหากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องของคนตระกูลหลิว ท่านก็ไม่ได้แซ่หลิวเหมือนกันมิใช่หรือ”
แม่เฒ่าจางหันมองเจิ้งซูอี้ด้วยท่าทางดุร้าย
“เจ้า!!!นางเด็กปีศาจ”