บทที่ 7 หากย้อนเวลากลับไปได้
@ณ โรงพยาบาล
เมื่อวานหลังจากที่ปรางปรีญาเดินทางมาถึงโรงพยาบาลก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลยเพราะต้องอยู่เฝ้ารินรดาทั้งคืน น้าสาวของเธออาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างซูบผอมเข้าทุกวัน หากไม่รีบผ่าตัดท่านต้องแย่แน่ๆ
ไม่รู้เป็นเพราะเวรกรรมหรือเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ท่านต้องตกอยู่ในสภาพนี้
ช่วงบ่ายคุณหมอประจำตัวของรินรดาเรียกปรางปรีญาไปพบพร้อมบอกข่าวร้าย
“ตอนนี้อาการของคุณรินรดาแย่มาก ถ้าไม่รีบผ่าตัดตอนนี้ คนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองเดือน หมออยากให้คนไข้ผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลย”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นปรางปรีญาถึงกับหน้าถอดสี จากตอนแรกที่คุณหมอประเมินไว้ว่าต้องผ่าตัดปีหน้า ยังพอมีเวลาเก็บเงิน แต่ด้วยความที่อาการของรินรดาทรุดลงเร็วกว่าที่คิดทำให้ต้องรีบเข้ารับการผ่าตัดด่วน
“อะ…อาทิตย์หน้าเลยหรอคะ”
“ครับ ตอนนี้ร่างกายของคนไข้ไม่ไหวแล้ว หมออยากผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลย”
“ตะ…แต่ว่าดิฉัน…เอ่อ….ยังไม่มีเงิน” ปรางปรีญาเหงื่อตก หน้าซีด
“ถ้ายังไม่ผ่าตัดตอนนี้ คนไข้อาจจะทรุดหนักลงเรื่อยๆ” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ ความจริงเคสของรินรดาควรได้รับการผ่าตัดตั้งนานแล้วแต่ติดอยู่ที่คนไข้ไม่มีเงินค่าผ่าตัด “แต่ถ้าคุณปรางปรีญายังไม่สะดวก ก็ให้คนไข้ทานยาไปก่อนก็ได้นะครับ”
“แล้วถ้าผ่าตัด…น้าของฉันจะกลับมาเป็นปกติไหมคะ”
“เรื่องนี้หมอยังให้คำตอบไม่ได้ครับ อยู่ที่การฟื้นตัวของคนไข้ ยิ่งถ้าร่างกายของคนไข้อ่อนแอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฟื้นตัวยาก”
“งั้นก็แสดงว่าต้องผ่าตัดอาทิตย์หน้าเลยใช่ไหมคะ”
“ครับ”
ปรางปรีญาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บีบมือให้กำลังใจตัวเอง เงินตั้งสองแสนไม่รู้จะไปหาจากไหนได้ทัน ลำพังที่มีติดตัวอยู่เจ็ดหมื่นก็เก็บมาตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อเป็นค่าผาตัด ไม่คิดว่าหมอจะเลื่อนผ่าตัดเร็วขึ้น
“ไม่ต้องคิดมากนะครับ ยังพอมีเวลาอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ ในระหว่างนี้คงต้องรักษาแบบประคับประคองไปก่อน”
“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะ”
ปรางปรีญาเดินเหม่อลอยเหมือนคนไร้สติออกจากโรงพยาบาลแล้วหยุดนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปรื้อขึ้นคลอเบ้าตาสวยอีกรอบ เธอนั่งร้องไห้อยูคนเดียวอย่างเงียบๆเพราะไม่รู้จะเอายังไงต่อ สงสารคุณน้าที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไม่มีเงินค่าผ่าตัด
หากคุณพ่อยังอยู่ก็คงไม่ลำบากขนาดนี้
“พระเจ้ากำลังทดสอบชีวิตหนูอยู่ใช่ไหมคะ ฮือ…” ปรางปรีญาพูดกับตัวเองด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถหาเงินค่าผ่าตัดได้ทัน ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมาประจานความไม่เอาไหนของตัวเอง “หนูเป็นลูกที่แย่มากเลยใช่ไหมคะ ที่ไม่สามารถหาเงินมารักษาคุณน้าได้”
ร่างเล็กนั่งร่ำไห้ซึมซับความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้นได้พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าฝนกำลังจะตกจึงกลับเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้ง
ปรางปรีญาต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลเมื่อต้องกลับมาเจอสภาพน้าสาวที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ต้องทำตัวเข้มแข็งเพราะไม่อยากให้ท่านลำบากใจ แต่ลับหลังแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ
“ปรางหายไปไหนมา” เสียงรินรดาเบาหวิวคล้ายคนหมดเรี่ยวแรงเอ่ยถามหลานสาวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ นางทั้งสงสารและเป็นห่วงที่ปรางปรีญาต้องเจียดเงินมารักษาตนในแต่ละเดือนจนแทบไม่พอใช้
“ปรางออกไปซื้อข้าวมาค่ะ” เธอยกข้าวกล่องที่เพิ่งซื้อตอนเดินกลับโรงพยาบาลให้คนเป็นน้าดู รินรดาเมื่อเห็นเช่นนั้นถึงกับน้ำตาไหลด้วยความสงสาร อยากให้ปรางปรีญากินอาหารดีๆ ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง ไม่ใช่กินแต่ข้าวกล่องกับบะหมี่แทบทุกวัน
“โถ่….ปรางหลานรัก น้ากำลังทำให้ปรางลำบากใช่ไหม”
“ไม่เลยน้าดา ปรางอยู่ได้ ปรางชินแล้วค่ะ” เธอยิ้มแล้วย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียงผู้ป่วย ตาขอบตาบวมเป่งนั้นไม่อาจหลุดพ้นสายตาของคนเป็นน้าไปได้
“นี่ปรางร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ ตอนที่ปรางเดินออกไปซื้อข้าวกล่อง แมลงบินเข้าตา”
“อย่าโกหกน้า” รินรดาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กทุยของหลานสาวด้วยความสงสารสุดหัวใจ จากหญิงสาวที่เคยน่ารักสดใส ตั้งแต่เลิกกับอคิราห์ไปก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร ทุกครั้งที่นางสบตากับหลานสาวมักจะเห็นความเศร้าความเสียใจอยู่ในดวงตาคู่นั้น “น้าขอโทษที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด น้าผิดเอง ฮรื้อๆๆ”
“อย่าร้องไห้เลยนะคะน้าดา เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ปรางลืมไปหมดแล้วค่ะ” ปรางปรีญากลืนก้อนสะอึกที่วิ่งขึ้นมาจุกตันในลำคอ รีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของรินรดา
ถึงท่านจะผิด แต่ยังไงท่านก็คือคนในครอบครัว เธอทอดทิ้งท่านไม่ได้จริงๆ
“แต่น้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี น้าทำให้ปรางกับโซ่ต้องเลิกกัน น้าเสียใจ ฮึก…”
“ถึงไม่ใช่เพราะน้า ยังไงเขาก็เลิกกับปรางอยู่แล้ว ปรางไม่เหมาะสมกับเขาหรอกค่ะ”
“แต่น้ารู้ว่าปรางรักโซ่มาก ปรางยังรอโซ่อยู่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้…ฮึก….น้าจะไม่ทำแบบนี้ ฮื้อออ…”
“เราอย่ารื้อฟื้นความหลังกันเลยนะคะ ตอนนี้ปรางกับ…เอ่อ…พี่โซ่เป็นเส้นขนานไปแล้ว เราสองคนคงไม่มีทางกลับมาเจอกันอีกแล้วค่ะ” เธอจำเป็นต้องโกหกเพียงเพราะไม่อยากให้ท่านรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง แถมยังถูกอคิราห์ขู่ต่างๆนาๆจนหวาดระแวงว่าเขาจะมาทำอะไรคุณน้าของเธอหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ให้เขารู้เด็ดขาดว่าท่านอยู่ที่นี่
รินรดาคว้ามือของหลานสาวเข้ามากุม แล้วตบหลังฝ่ามือเบาๆ
“ปรางไม่ต้องทำอะไรเพื่อน้าอีกแล้วนะ ไม่ต้องหาเงินค่าผ่าตัดให้น้าอีกแล้ว ปรางเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นเถอะ เพราะน้ารู้ว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
“น้าดาอย่าพูดแบบนี้สิคะ ยังไงน้าก็ต้องได้ผ่าตัด ตอนนี้ปรางเก็บเงินใกล้ครบแล้ว ปรางจะไม่มีวันทิ้งน้าเด็ดขาด”
รินรดาน้ำตาไหลพรากลงตามร่องแก้ม ทำให้ปรางปรีญกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ตามด้วยความสงสารท่าน ทุกคนจากเธอไปหมดแล้ว เหลือแค่รินรดาเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าท่านจากไปอีกคน ก็แสดงว่าโลกของเธอคงไม่มีใครอีกแล้ว
หรือนี่คือวิบากกรรมที่ครอบครัวของเธอเคยทำกับคนอื่นไว้
“น้าขอบคุณปรางมากๆนะที่ยังไม่ทิ้งน้า ทั้งๆที่น้าทำเรื่องแย่ๆเอาไว้” นางหลับตาลงทั้งน้ำตา ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนเปียกชุ่มใบหน้า “ที่น้าทำไปทั้งหมดเพราะรักคุณเชษ น้าไม่ได้อยากทำให้ครอบครัวครอบอื่นต้องเลิกรากัน”
“ปรางเข้าใจว่าคุณเชษคือรักแรกของน้าดา แต่เรื่องมันผ่านมาแล้ว คุณน้าลืมๆมันไปเถอะนะคะ ปรางไม่อยากให้น้าดาคิดมาก”
“ถ้าน้าหักห้ามใจสักนิดเรื่องมันก็คงไม่เกิด” เปลือกตาซีดเซียวของรินรดาค่อยๆเปิดขึ้น สบตากับหลานสาวสุดที่รัก มือสั่นเทาเคลื่อนเข้าไปเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของปรางปรีญา “เรื่องของปรางกับโซ่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นได้ กลับไปบอกโซ่นะว่าทั้งหมดเป็นเพราะน้าเอง เผื่อโซ่จะเห็นถึงความรักของปรางที่มีต่อเขา”
ประโยคนั้นทำให้ปรางปรีญาสะอึกสะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้องก้มหน้างุดหลบซ่อนความเจ็บปวด พรางยกมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหล เพราะเธอยังรักอคิราห์อยู่ ยังไม่เคยลืมเขาแม้แต่วินาทีเดียว
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้พี่โซ่มีแฟนแล้ว ส่วนปรางก็คงเป็นได้แค่รักเก่าที่เขาไม่อยากจำ เขาเกลียดพวกเราไปแล้ว….”