ตอนที่ 3 "นี่มันชีวิตคนนะคะ”
ชนิตานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เก้าอี้เพราะไม่คิดว่าเขาจะถามขึ้นมาตรง ๆ แบบนั้น หมอเรย์มองหน้าเธอ สีหน้าที่ดูจริงจังตรงหน้านี้ทำให้เธอเริ่มอึดอัดได้อย่างน่าประหลาด จากที่อากาศเย็น ๆ ตอนนี้เธอเริ่มร้อนและเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหมอคะ เรื่องคุณพ่อถ้าไม่มีอะไรแล้ว…”
“ผมให้คำตอบที่คุณอยากรู้ในทุก ๆ คำไปแล้ว ทำไมตอนนี้คุณถึงไม่กล้าตอบคำถามของผมล่ะ”
“เรื่องนี้…ไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาคุณพ่อไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าไม่เกี่ยวข้องกับการรักษา ถ้าผมบอกว่าจะไม่รักษาคุณพ่อของคุณถ้าคุณไม่ตอบคำถามผมมาคุณจะทำยังไง”
“หมอคะ อย่า….อย่าล้อเล่นแบบนี้สิคะนี่มันชีวิตคนนะคะ”
“แล้วที่คุณทิ้งชีวิตผู้ชายคนหนึ่งให้จมกับความทุกข์เมื่อห้าปีก่อนนั่นล่ะ คุณไม่คิดที่จะรับผิดชอบอะไรสักหน่อยเหรอ”
เนยนั่งตัวสั่นอยู่ที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขาและไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอรู้ว่าเขาคงโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปเพราะตอนนี้พ่อของเธออยู่ในความดูแลของเขา
เพียงแค่เขาเอ่ยปากว่าไม่อยากรับเคสนี้เธอก็คงต้องลำบากไปหาคุณหมอคนใหม่ อาจจะไม่ได้ยากนักแต่ว่าการเริ่มต้นวินิจฉัยโรคตั้งแต่แรกก็คงไม่ทันที่พ่อของเธอจะรับการรักษาได้ทัน
“คุณต้องการอะไร”
“ต้องการคำตอบ ว่าทำไม…”
“ไม่มี!! เนยไม่มีอะไรจะตอบค่ะ คุณหมอคะถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ”
เธอรีบรวบรวมสติและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อเดินไปที่ประตู แม้ว่าหมอเรย์จะนั่งอยู่ที่โต๊ะเฉย ๆ แต่เสียงของเขาก็ทำให้เธอไม่กล้าเปิดประตูออกไป
“คุณจะออกไปก็ได้ แต่ความผิดในครั้งนั้นและเรื่องต่อจากนี้ทุกอย่างผมจะเป็นคนกำหนดเอง ถ้าหากว่าคุณคิดจะหนีอีก เราก็แค่มาเดิมพันกันอีกครั้ง”
“คุณ!! คุณเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาผู้ป่วยแต่นี่คุณกล้าเอาชีวิตของพ่อฉันมา….ข่มขู่ฉันงั้นเหรอคะ”
“ผมไม่ได้ขู่ หน้าที่รักษาเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของคุณล่ะทำได้หรือเปล่า”
“ฉันจะย้ายโรงพยาบาล”
“เชิญเลยตามสบายถ้าคิดว่านั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุดของคุณพ่อคุณ ผมก็จะไม่ห้ามเพราะญาติคนไข้มีสิทธิ์เต็มที่แต่ผมจะเตือนคุณอีกอย่างหนึ่งว่าการย้ายคนไข้ไปรักษาที่อื่นและเปลี่ยนทีมแพทย์เพื่อทำการรักษาในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย”
“คุณขู่เนยงั้นเหรอคะ!!”
หมอเรย์ลุกจากเก้าอี้เป็นครั้งแรกและเดินเข้ามาใกล้เธออีกครั้ง กลิ่นน้ำหอมของเธอที่โชยเข้าจมูกเขายิ่งกระตุ้นความโกรธในใจเพิ่มมากขึ้น ทำไมเธอถึงยังใช้น้ำหอมกลิ่นนี้อยู่อีกนะ!!
“คุณจะทำอะไร”
“ทำเรื่องโง่ ๆ เหมือนกับที่คุณเคยทำเอาไว้เมื่อห้าปีที่แล้วนั่นแหละ เชิญออกไปได้แล้ว”
หมอเรย์เป็นคนเปิดประตูให้เธอและใช้มือหนาดันชนิตาออกจากไปห้องตรวจทันที เมื่อเธอพ้นจากหน้าห้องตรวจ ประตูก็ปิดลงต่อหน้าอีกครั้ง เนยหันไปมองประตูห้องตรวจนั้นอีกครั้งโดยไม่ทันเห็นว่าพีรพัตน์เดินมาถาม
“เนยเป็นยังไงบ้างคุณหมอบอกว่ายังไง”
สายตาของเธอยังคงมองไปที่ห้องตรวจนั้นอีกครั้ง เธอไม่อยากให้พ่ออยู่ที่นี่และอยากจะรีบย้ายโรงพยาบาลให้พ่อเธอทันที
“พี่พีร์คะ เนยอยากจะรบกวนขอความช่วยเหลือจากพี่พีร์สักเรื่องหนึ่งค่ะ”
“ว่ายังไง เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอบอกพี่ได้นะถ้าช่วยได้ก็รีบพูดออกมา ชีวิตคุณอาสำคัญมากรอไม่ได้นะเนย”
“เนยอยากจะย้ายโรงพยาบาลค่ะ หมอที่นี่คงรักษาคุณพ่อเนยไม่ได้แล้ว เนยอยากจะพาพ่อไปรักษาที่อื่นค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นแต่ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่พ่อเนยรักษามาตลอดเลยนะ จะย้ายตอนนี้มัน…”
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะค่ะ”
“ได้สิ ไปที่ร้านอาหารข้าง ๆ นี่ก็แล้วกันพี่ถามพยาบาลแล้วว่าอีกพักใหญ่เลยกว่าที่คุณอาจะย้ายไปที่ห้องพัก”
“ค่ะ”
เนยและพีร์เดินกลับออกไปแล้ว คนที่ยืนพิงประตูห้องตรวจอยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นกำลังกัดกรามแน่นพร้อมกับมือที่กำของบางอย่างเอาไว้จนมันบาดมือเขาเลือดออกแต่เขาก็ไม่คลายข้อมือออกมาจนเสียงของเธอหายไป
“ชนิตา คุณกลับมาอีกทำไมกัน ในเมื่อกล้าทิ้งผมไปแล้วทำไมต้องกลับมา….คนใจร้าย!!”
มือที่สั่นค่อย ๆ คลายออกมาพร้อมกับน้ำตาที่หล่นลงไปเปื้อนแหวนเพชรที่เขามักจะสวมติดนิ้วที่เล็กที่สุด มันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดให้เขายังมีชีวิตอยู่มาได้ถึงห้าปีหลังจากที่เธอหายไปจากชีวิตของเขาโดยไร้เยื่อใย
แต่เมื่อกลับมาอีกครั้งก็พบว่าเธอมากับผู้ชายคนอื่น และแทบจะไม่มีเยื่อใยใด ๆ ให้เขาเลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นจะย้ายพ่อไปรักษาที่อื่นเพื่อเลี่ยงที่จะพบเขา
“ครับแม่…..ครับ กี่โมงนะครับ แม่ครับผมไม่อยาก….ก็ได้ครับ สองทุ่มเจอกันครับ”
หมอเรย์นั่งหมดแรงอยู่ในห้องตรวจ พ่อของชนิตาเป็นคนสุดท้ายที่เขาตรวจในวันนี้ เมื่อเดินไปล้างแผลที่มือและมานั่งทำแผลด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่ใช้ยาราดแผลลงไปเขามักจะตอกย้ำตัวเองลงไป
“ทุกครั้งทำไมต้องมีผมที่เจ็บอยู่คนเดียว แล้วต้องมาทำแผลที่เจ็บอยู่คนเดียวอยู่แบบนี้ ชนิตาคุณเลือกจะใจร้ายกับผมก่อนก็อย่าหาว่าผมเป็นคนเลวก็แล้วกัน!!”
หลังจากนั้นชนิตาและพีรพัตน์ก็พยายามหาโรงพยาบาลและแพทย์ผู้ชำนาญการหลายแห่งเพื่อจะทำการรักษาเคสของคุณพ่อของเธอ แต่ทุกที่ก็ตอบมาเหมือนกันหมดว่าทุก ๆ อาการที่เกิดขึ้นต้องฟังวินิจฉัยกับคุณหมอที่รับผิดชอบมาตั้งแต่แรก ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนแพทย์ที่รักษาในตอนนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับคนไข้
“นี่มันอะไรกัน ต้องกลับไปขอร้องเขางั้นเหรอ”
“เนย พ่อว่าที่นี่ก็รักษาดีแล้วนะแล้วคุณหมอที่นี่ก็เก่งมากแกจะลำบากหาที่รักษาทำไม”
“แต่พ่อคะ…”
“พอเถอะ แกเหนื่อยกับเรื่องพ่อมาทั้งอาทิตย์แล้วกลับไปทำงานของแกบ้างเถอะ”
“พ่อคะแต่ว่าหมอไม่ยอมผ่าให้พ่อนี่คะ เนยก็แค่ลองหาวิธีอื่นดูเท่านั้นเอง”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง”
“เนยจะหาต่อไป ลองดูว่ายังมีที่อื่น…”
“ก๊อก ก๊อก”
ประตูเปิดออกมาและตามมาด้วยหมอเจ้าของไข้ที่มาพร้อมกับพยาบาลที่เดินถือแฟ้มและยาสำหรับตอนเช้าเข้ามาด้วย
“สวัสดีครับวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ ยังปวดหัวอยู่ไหมครับ”
“วันนี้ยังไม่มีอาการเลยครับ”
“แล้วลุกเข้าห้องน้ำบ้างหรือยังครับ”
“ครับ ๆ”
หมอเรย์ยังคงสอบถามอาการพ่อของเธอไปเรื่อย ๆ ชนิตาเองก็ค่อย ๆ เดินออกมาข้าง ๆ เพื่อสังเกตเขาแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเธอเลยก็ตาม แต่พอเขาตรวจและแจ้งสิ่งที่พ่อเธอต้องทำเสร็จแล้วเขาจึงได้หันมาหาเธอที่นั่งอยู่โซฟาใกล้ ๆ เตียงผู้ป่วย
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว เดี๋ยวตอนกลางวันผมจะลองให้เปลี่ยนอาหารดูนะครับ ญาติคนไข้เชิญออกมาพบหมอหน่อยครับ”
“คะ?”
“เนย เป็นอะไรหมอบอกว่าให้ไปพบข้างนอกไง ไปฟังว่าต้องงดกินอาหารแบบไหนเพราะกำลังจะเปลี่ยนยายังไงล่ะ แกยืนงงอะไรอยู่ ขอโทษทีนะครับคุณหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณอาพักผ่อนมาก ๆ นะครับเดี๋ยวตอนเย็นผมจะแวะมาตรวจอีกครั้ง”
“ครับ ขอบคุณครับคุณหมอ เอ๊า!! เนย ตามหมอไปสิ”
“พ่อ เนยรู้แล้วค่ะขอไปเอากระเป๋าก่อน”
เนยเดินเลี่ยงเขาเพื่อไปหยิบกระเป๋าและเดินตามเขาออกไป พยาบาลยังอยู่ในห้องเพราะต้องจัดยาหลังอาหารให้กับพ่อของเธอ ดังนั้นจึงมีแค่เธอและเขาที่เดินมายังห้องพักของแพทย์
“เชิญนั่งก่อนสิ”
“ค่ะ”
เนยต้องยอมนั่งอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกเธอคิดว่าจะคุยไม่นานจึงไม่อยากนั่งลงแต่เมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แล้วและเข้ามาในห้องส่วนตัวแบบนี้ ดูแล้วคงจะมีเรื่องอาการของพ่อที่ต้องคุยกันยาว
“คุณหมอมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”
หมอเรย์เดินมานั่งตรงข้ามกับเธอและมองเนยด้วยสายตาที่นิ่งเฉย เขาดูไม่ต่างกับวันก่อนที่คุยกับเธอแต่ดูจะเย็นชาขึ้นเมื่อเทียบกับที่เธอเจอครั้งสุดท้าย
“ผมจะถามคุณว่าคุณหาโรงพยาบาลที่จะเปลี่ยนให้คุณพ่อคุณได้หรือยัง ผมจะได้ทำเรื่องโอนย้ายประวัติไปให้”