ตอนที่ 9 เหตุไม่คาดฝัน (5)
“นี่แหน่ะ ไอ้โจรบ้ากาม!” กระเป๋าสะพายระดมฟาดไปที่ลำตัวอีกฝ่ายไม่ยั้ง อะไรก็ช่าง... เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากการเอาตัวให้รอดจากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้ให้ได้ก่อน คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบออกวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงอย่างไม่คิดชีวิต และแน่นอนว่าไม่ยอมเหลียวหลังมองร่างที่นอนงอก่องอขิงด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเบื้องหลังอีกต่อไป จึงไม่ได้เห็นสายตาคมกล้ามองตามหลังมาอย่างอาฆาตแค้นสุดๆ!!
“ยัยตัวแสบ!”
เสียงห้าวกัดฟันคำรามอย่างเจ็บใจ ร่างสูงแกร่งตัวงอเป็นกุ้งเพราะความจุกเสียดที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์เข่าลอยมหาภัยของยัยเด็กบ้านั่นกระแทกเล่นงานจุดยุทธศาสตร์เต็มเปา ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ เขา ‘ทำคุณบูชาโทษ’ แท้ๆ
วันนี้เป็นวันซวยอะไรของเขาหรือยังไงนะ ตั้งแต่เหยียบแผ่นดินเกิดเพียงก้าวแรกยันบัดนี้ เขาก็ได้พบแต่เรื่องเฮงซวย ตั้งแต่ถูกแท็กซี่พาหลงเมืองวกไปเวียนมาแทนที่จะถึงบ้านจู่ๆ คนขับกลับปล่อยเขาลงกลางทางเอาดื้อๆ ด้วยเหตุผลว่า... ต้องรีบไปส่งรถ... อันที่จริงเขาเองควรจะโทรศัพท์บอกให้ทางบ้านมาคอยรับก่อนล่วงหน้า เพราะความรีบร้อนเป็นห่วงอาการบิดาแท้ๆ ทำให้ลืมคิดไปสนิท พอได้ทราบข่าวจากคนดูแลบ้านปุ๊บก็รีบจับเที่ยวบินดิ่งตรงกลับมาเมืองไทยปั๊บ ครั้นจะโทรไปบอกมารดาให้ส่งคนมารับก็แบตหมดซะได้ แถมเมื่อจะเรียกแท็กซี่คันใหม่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอีก ถ้าจะโทษใครก็ต้องโทษที่เขาเองก็จำทางไม่ได้
ใครจะไปคิด... เวลาเพียงสิบปีที่จากไป จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเสียจนเขาไม่อาจจำได้แม้กระทั่งทางเข้าบ้านของตัวเอง ตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าล้วนแปลกหูแปลกตาไปหมด ตามตรอกซอกซอยที่เขาคิดว่าน่าจะจำทางเข้าได้ไม่ยาก จึงตัดสินใจลงเดินคลำทางหาเอาเองอยู่นาน ยิ่งหาก็ยิ่งหลงไปเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกทีก็เวลาคล้อยผ่านไปเกือบค่อนคืน เห็นป้ายรถเมล์จึงหวังพักให้หายเหนื่อย และวางแผนการใหม่ หากนั่นกลับทำให้ต้องยุ่งยากยิ่งกว่า เมื่อหูดันหาเรื่องบังเอิญไปได้ยินพลเมืองร้ายคุยกันแว่วๆ มา
แม้สังคมที่จากมานั้นสอนไม่ให้ยุ่งเรื่องสิทธิ์ของผู้อื่น หากสิ่งที่ได้ยินนั่นก็ทำให้ประหวั่นใจแทนเหยื่อที่ถูกหมายตานั่น จนเขาต้องทำตัวเป็นพลเมืองดี เดินตามคุ้มครองเจ้าหล่อนไปส่งบ้านเสียเอง แล้วไง... ความดีความชอบไม่ได้ ดันถูกเจ้าทุกข์คิดว่าจะมาทำมิดีมิร้ายเจ้าหล่อนเสียเองซะอีก
‘ไอ้โจรบ้ากาม’
แม่เหยื่อตัวแสบที่ไม่รู้เลยว่าถูกหมายตาจากพลเมืองร้ายพวกนั้น ปรามาสเขาเสียย่อยยับอัปมาณ แถมฝากรอยแค้นจนจุกแทบกระอักอีกต่างหาก ชายหนุ่มทอดถอนใจ ดวงหน้าคมคายที่เข้มจัดด้วยรอยเขียวครึ้มเพราะเจ้าตัวรีบร้อนมา แถมยามนี้ยังมอมแมมด้วยฝุ่นที่เพิ่งลงไปคลุกมาสดๆ ร้อนๆ จนดูไม่จืด ค่อยๆ สะบัดศีรษะไล่ความมึนงง สองมือที่พยายามพยุพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นทำได้ดีสุดตอนนี้ คือแค่กึ่งนั่งกึ่งนอนกับพื้นฟุตบาทนั่น
คอยดูนะ... ถ้าเกิดเขาต้องสูญพันธุ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ จะตามจองล้างจองผลาญยัยเด็กเวรนี่ไม่เลิกแน่ ชายหนุ่มนึกพลางประคองร่างโงนเงนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ใครจะนึกว่าคนตัวเล็กหุ่นอย่างกับจะปลิวลมได้นั่นจะมีฤทธิ์เดชแสบสันต์นัก แต่มาคิดดูอีกที จะว่าไปแล้วจากที่ได้สัมผัสเพียงชั่วครู่นั่นก็ทำให้พอกะการณ์ได้ว่า รูปร่างที่ถูกพรางตานั้นไม่ใช่จะบางเสียทีเดียว แถมแรงดีซะด้วย เขาปัดไม้ปัดมือไปมาไล่ฝุ่น รู้สึกแสบจี๊ด จึงก้มมองแล้วก็ได้เห็นถึงต้นเหตุที่หลุดติดมือ
สายสร้อยทองเส้นน้อย ห้อยตุ้งติ้งรูปทรงแปลกตา สะท้อนวับๆ ในความมืด เฮอะ... ขืนเอาไปส่งคืนเจ้าของตอนนี้ ก็คงจะถูกหาว่า... จี้ชิงทรัพย์มาอีกสิ...
“หึๆ ซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง” เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอเบาๆ ทั้งเคืองขุ่นทั้งขำ กรอบตาลึกคมเข้มวาวโรจน์ในเงามืดแลตามทางที่ร่างระหงหายลับไป พอได้เห็นเงารั้วอัลลอยถนัดตาเท่านั้นเอง ร่างทั้งร่างก็ชาวาบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ สิ่งที่ควานหามาหลายชั่วโมงในที่สุดก็มาเจอเอาง่ายๆ
‘บ้าน’ ที่จากไปนานเกือบสิบปี บ้าน... ที่แม้จะนอนหลับก็ยังคงฝันเห็น และยามตื่นก็ยังคงคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ ในที่สุดเขาก็ได้หวนกลับมาอีกครั้งจนได้... .
