ตอนที่ 9 เหตุไม่คาดฝัน (3)
“ไม่หรอกน้องทราย คุณลุงไกรต้องไม่เป็นอะไร” เสียงทุ้มนุ่มปลอบขวัญอ่อนโยน “แล้วอย่าบอกว่าตัวเองไม่เหลือใคร อย่างน้อยน้องทรายก็มีพี่ กับยัยตรี พี่จะปกป้องน้องทรายเอง”
“พี่โทคะ!” จู่ๆ ตรีรักษ์ก็เอะอะอย่างตื่นตระหนก “ดูโน้นสิ คนพวกนั้นยกโขยงมาทางนี้แล้ว”
“มัวพูดอะไรอยู่ล่ะ รีบหลบมาทางนี้เร็ว” โทรินทร์รีบคว้าแขนน้องสาวและดึงร่างโปร่งบางเข้ามาหลบฉากอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งคล้อยหลังคนเหล่านั้น ร่างของศุภิสราก็รีบวิ่งเข้าไปหน้าห้องไอซียูทันที อาการเกาะประตูห้องไอซียูอย่างร้อนรนของหญิงสาว ทำให้สองพี่น้องต้องหันมาสบตากันอย่างรู้สึกสงสารจับใจ โทรินทร์ตาไวเห็นคุณหมอเจ้าของไข้จึงรีบเข้าไปสอบถามอาการให้
“พี่โทคะ คุณหมอว่ายังไงบ้าง คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ” ศุภิสรารีบละล่ำละลัก
“ยังไม่เป็นไร” คำตอบสั้นงำความ จนคนเป็นน้องแหละอดใจอยากรู้ไม่อยู่
“ไม่เป็นไร แล้วทำไมต้องเข้าไอซียูล่ะพี่โท”
“ก็ยังไม่เป็นไรไง เพียงแต่ยังไม่ได้สติ ตอนนี้ต้องอยู่ดูอาการให้แน่ใจก่อนสักระยะน่ะ” ชายหนุ่มแอบหลบตาตอบอ้อมแอ้ม ยังดีที่คนฟังไม่ทันสังเกต
“โอ้ย... งั้นก็โล่งอกไปทีนะ เห็นคุณผู้หญิงของเธอร้องซะอย่างกับถูกเชือด ฉันก็นึกว่าคุณลุงของเธอจะ... อุ๊ย” คนปากไวรีบกัดลิ้นแทบไม่ทัน เมื่อถูกพี่ชายกระทุ้งศอกใส่เบาๆ
“สบายใจเถอะนะ คุณหมอเจ้าของเคยเป็นอาจารย์สอนพี่มาก่อน ท่านเป็นหมอที่เก่งมาก และท่านรับปากว่าจะช่วยดูแลอาการคุณลุงให้ดีที่สุด” โทรินทร์ยิ้มปลอบโยน หากคนฟังไม่ทันเห็นแววตาคมไหววับอย่างหวั่นวิตกลึกๆ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่บอกไปนั้นจริงเพียงแค่... ครึ่งเดียว!
หลายวันต่อมา อาการของคุณไกรภพก็ยังคงน่าเป็นห่วง เขายังคงไม่รู้สึกตัวและต้องนอนอยู่ในห้องไอซียูต่อไป เช่นเดียวกับศุภิสราที่แอบมาเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูแทบทุกวัน โดยไม่มีโอกาสได้เห็นคนที่นอนในห้องไอซียูแม้เพียงเส้นผม แต่เด็กสาวก็ไม่ยอมย่อท้อ อาศัยที่ช่วงนี้ตารางเรียนไม่ค่อยแน่นนัก เมื่อเลิกเรียนเธอก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที และกว่าจะกลับก็มืดค่ำ
“อาการยังคงที่ค่ะ แต่ยังไม่ฟื้น” ทุกคำราวน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงหัวใจคนฟัง อย่างน้อยให้ได้รู้ว่าคุณไกรภพยังไม่เป็นอะไรอย่างที่คิดห่วงกังวล เท่านั้นก็พอใจแล้ว
“คุณคะ” เสียงเรียกเบาๆ นั้นทำให้คนถูกเรียกหลุดจากภวังค์
“ดึกมากแล้ว หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ” ศุภิสราก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นชี้เลยเลขสิบไปนานแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ หัวใจห่อเหี่ยว ผ่านไปอีกวันแล้วคุณลุงของเธอก็ยังไม่ฟื้นเหมือนเดิม อีกวันที่เธอได้แต่วิงวอนในใจ
“แม่คะอย่าเพิ่งพาคุณลุงไปเลยนะคะ คุณลุงคะอย่าเพิ่งเป็นอะไร รอก่อน อย่างน้อยก็รอจนกว่า ‘เขา’ จะกลับมานะคะ ได้โปรดแข็งใจอีกนิด...”
เด็กสาวได้แต่ครุ่นคิดกังวลถึงอาการของคุณไกรภพ จนกระทั่งรถประจำทางที่นั่งมาถึงป้ายหน้าปากทางเข้าบ้านที่ยามนี้มีผู้คนรอรถอยู่บางตา อาจเพราะเวลาที่ล่วงเลยจนดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ยังดีที่ปากทางเข้าไม่ได้เปลี่ยวมากนัก เพราะมีร้านค้าสะดวกซื้อตั้งอยู่ ร่างบางระหงก้าวลงจากรถโดยไม่ทันเห็น วัยรุ่นชายสองในสามของคนที่นั่งบริเวณป้ายรถเมล์แห่งนั้นที่กระซิบกระซาบกันอย่างมีเลศนัย พอเห็นเธอก้าวผ่านไปทั้งสองก็ลุกตามทันที...
ถนนยามค่ำคืนโล่งจัด นานๆ จึงมีรถผ่านมาสักคัน แม้มีแสงไฟส่องทางเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้สว่างนัก อีกทั้งในยามวิกาลเช่นนี้ทุกบ้านแทบปิดไฟนอนกันไปเกือบหมด ทำให้บรรยากาศรอบกายวังเวงพิกล หากเพราะความคุ้นชินทำให้เธอไม่รู้สึกกลัวมากนัก ความเงียบกริบทำให้หูได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองดังกว่าปกติ อาจเป็นเพราะเงาแสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้เงาร่างที่ทอดยาวบนพื้นถนนแลดูผิดรูปทรงไปชอบกล และที่น่าแปลกคือเธอเดินมาคนเดียวแต่เงาร่างที่ทาบกลับมีซ้อนกันถึงสองเงา!
