ตอนที่ 9 เหตุไม่คาดฝัน (2)
“ยัยตรี!” “ไอ้ตรี!” คนถูกพาดพิงแหวขึ้นแทบจะพร้อมกัน แม้แต่คนเป็นเพื่อนก็ถลึงตาใส่ แล้วเจ้าของชื่อก็อุทานลั่น เมื่อถูกมือผู้เป็นย่าเหน็บเข้าให้ที่ต้นขาขาวหมับเข้าให้
“ดี หยิกหนักๆ เลยนะย่า ปากดีนัก” คนเป็นพี่ชายยุส่ง พลางลอยหน้ายั่ว
“หยุดเลยนะพี่โท หนอย... คนเขาหวังดีอุตส่าห์จะช่วยเชียร์ให้...” พูดไม่ทันขาดคำ ก็ถูกพี่ชายตัดบทฉับเพราะรู้ว่าประโยคต่อมาคืออะไร
“เชอะ อย่ามาลากฉันไปเกี่ยว น้องทรายอย่าไปฟังมันเชียวนะ เราไปหาที่กินขนมกันข้างล่างดีกว่า” คนหน้าบานเป็นจานดาวเทียมหุบยิ้ม ใบหูแดงแจ๋ พลางหันไปแอบพยักเพยิดกับคนนั่งข้างๆ ก่อนทำเนียนคว้ามือหญิงสาวกึ่งลากกึ่งจูงลงจากเรือนไป อีกมือก็ไม่ลืมคว้าจานขนมชื่อแทงใจดำนั่นติดมือไปด้วย
“พี่โทคะ ไปแกล้งเขาแบบนั้นเดี๋ยวก็งอนให้หรอก” หญิงสาวแอบติง หลังจากลงเรือนมาได้เจ้าของบ้านหนุ่มก็พาเดินลัดเลาะเข้าไปในสวนหลังบ้าน
“เชอะกลัวที่ไหน ปล่อยมันงอนไปสิดี จะได้ไม่มายุ่งกับเราไง โอ้ย...ง่วง” พอถึงแคร่ไม้ไผ่ตัวโปรด คนพูดก็ฉุดหญิงสาวนั่งลงข้างๆ ตัวอย่างหน้าตาเฉย และก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัวร่างสูงก็เอนร่างนอนพลางเอาศีรษะพาดเกยที่ตักของเธอเอาดื้อๆ
“แน้... ง่วงก็ไปนอนบนบ้านสิคะ มานอนตักคนอื่นแบบนี้ได้ไง” หญิงสาวหน้าแดงซ่าน พยายามดันร่างอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น หากไม่เป็นผลร่างหนาแกล้งนอนหลับตาพริ้มไม่รู้ไม่ชี้ จนชักอ่อนอกอ่อนใจ
“ป้อนหนมหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มออกปากต่อรองอย่างอ่อนหวานนัก “ขนม...เอ ย่าเรียกว่าไงนะ ลืม”
“ขนมซ่อนรักค่ะ”
“งั้นพี่ไม่กินดีกว่า กลัวน้องทรายหา... ไม่เจอ” คำพูดเลี้ยวลดพร้อมกับแววตาคมวาววับเปล่งประกายหวานที่มองมาคู่นั้นทำให้ศุภิสราชักเขิน จึงแกล้งตะปบมือปิดนัยนาหวานคู่นั้นเอาดื้อๆ
“โอ้ย...” เสียงอุทานลั่นคล้ายเจ็บปวดเสียเต็มประดา ทำให้หญิงสาวสะดุ้งนึกว่าเผลอทิ่มตาเขาเข้าให้จริงๆ จึงรีบชักมือออก หากคนเจ้าเล่ห์กลับประทับจูบลงบนฝ่ามือนุ่ม ก่อนทาบทับลงบนทรวงอกซ้ายของเขาพอดิบพอดี
“เจอแล้วใช่ไหม สิ่งที่ซ่อนไว้น่ะ ก็อยู่...ในนี้นี่ไง” มือใหญ่กดมือนวลแนบอกไว้แน่น หญิงสาวพยายามเมินหลบดวงตาเกเรคู่นั้น ดูท่าการอยู่เฉยๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอในเวลานี้ โทรินทร์ได้แต่ทอดถอนใจ... เห็นท่าหนทางความรักของเขายังคงต้องเหนื่อยอีกหลายยกทีเดียว แต่กระนั้นเขาก็จะไม่ยอมถอดใจย่อท้ออย่างเด็ดขาด!
ศุภิสราอยู่เที่ยวที่บ้านสวนของโทรินทร์จนถึงเวลาเย็นก็ต้องขอตัวกลับ และแน่นอนว่าเจ้าของบ้านหนุ่มรับอาสาจะไปส่งถึงบ้าน แม้จะขัดใจอยู่บ้างที่ต้องยอมให้น้องสาวตัวดีนั่งติดรถมาเป็นก้างขวางคอด้วยอีกคน ทำให้เขาหมดโอกาสอยู่ตามลำพังกับเธอไปโดยปริยาย เมื่อรถแล่นเข้าผ่านประตูรั้วของบ้านบุรณากรณ์ ทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแม่อบยืนดักรออยู่หน้าป้อมยาม สีหน้าหญิงมากวัยดูร้อนรนกระวนกระวายยิ่งนัก “มีอะไรเหรอคะป้า หน้าตาตื่นเชียว” ศุภิสรารีบลงจากรถเมื่อเห็นทีท่าร้อนรนนั้น
“คุณ คะ...คะ...คุณไกรคะ” หญิงมากวัยพูดตะกุกตะกักแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“มีอะไรคะ ค่อยๆ พูดค่ะ ใจเย็นๆ” คราวนี้แม้แต่สองพี่น้องก็อดเงี่ยหูรอฟังด้วยไม่ได้ “ คุณลุงทำไมคะ”
“คุณไกรเธอ...” คนพูดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คุณไกรหัวใจวายค่ะ! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ!”
หน้าห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตอนนี้มีผู้คนกลุ่มหนึ่งยืนรออย่างกระวนกระวาย คนที่ดูจะร้อนรนกว่าใครคือผู้เป็นภรรยาของคนไข้ เจ้าหล่อนพยายามชะเง้อมองผ่านกระจกที่มีม่านบังนั้นอยู่บ่อยครั้ง ขณะนั้นเองประตูห้องไอซียูเปิดออกมา ก็รีบถลาเข้าไปก่อนใคร คุณหมอเจ้าของไข้รายงานอาการของคนในห้องไอซียูพร้อมกับยื่นของบางอย่างในมือให้ เท่านั้นเองร่างคุณพราวพิไลก็ทรุดลงไปกองกับพื้น จนใครต่อใครต้องรีบเข้ามาช่วยประคองกันให้วุ่นวาย
ภาพนั้นทำให้คนแอบมองมาจากมุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปใจหายวาบ ยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองหมับกลั้นเสียงร้อง ระยะห่างทำให้ไม่ได้ยินบทสนทนา หากอากัปกิริยาของคุณหมอและญาติคนไข้ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้าย...
“คุณลุง!” เสียงเครือรำพึงแผ่ว ดวงหน้านวลเผือดซีดจนไร้สีเลือด จนตรีรักษ์ต้องรีบเข้าสวมกอดปลอบโยน พลางสบตากับพี่ชายที่มองมาอย่างเป็นห่วงไม่แพ้กัน “ตรี คุณลุง... คุณลุงจะเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นคุณผู้หญิงร้องไห้หนักมากเลย คุณลุงจะเป็นอะไรไหม ฉันจะทำยังไงดี...” เสียงทอดยาวแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา ยิ่งทำให้สองพี่น้องสงสารจับใจ
