ตอนที่ 9 เหตุไม่คาดฝัน (1)
เช้าตรู่วันต่อมา ที่บ้านสวน หญิงสูงวัยหรี่ตามองรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อ พอเห็นร่างที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาเธอก็ยิ้มรับ และรอยยิ้มนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังพ่อหลานชายตัวดีที่ตีหน้าซื่อตาใส ทั้งๆ ที่ท่านแอบเห็นกับตาว่าเขาทำเป็นอ้อยอิ่งแค่ไหนกว่าจะยอมปล่อยมือสาวน้อยก่อนที่จะถึงบนเรือนแป๊บเดียวเท่านั้น ดวงหน้างามนวลผ่องเป็นยองใยของเจ้าของมือแต้มรอยระเรื่ออย่างเก้อเขิน ทำให้คนมองนึกย้อนไปถึงหญิงสาวผู้อาภัพอีกคนจับใจ ถ้าหลานชายตัวดีของเธอจะนึกรักใคร่ชอบพอสาวน้อยตรงหน้านี้ก็คงไม่แปลก อย่าว่าแต่ทโมนไพรอย่างโทรินทร์เลย ต่อให้เป็นคนที่ใจแข็งเป็นหินที่สุดในโลกก็เถอะ คงต้องมีหวั่นไหวกันบ้างหรอก
“ย่าครับ ผมพาคนช่วยชิมขนมมาให้แล้วครับ” หญิงสูงวัยยิ้มรับไหว้ของผู้มาเยือนอย่างอ่อนโยน
“คุณลุงคุณป้าไม่อยู่เหรอคะวันนี้”
“โอ้ย... นู่นเขาออกไปหาเพื่อนที่สระบุรีกันตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะจ้ะ ว่าแต่หนูเถอะทานอะไรมาหรือยังลูก”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ก่อนออกมาทานข้าวต้มกุ้งรองท้องมาบ้างแล้วค่ะ”
“ไหนครับ วันนี้คุณย่าจะโชว์ฝีมือทำอะไรอวดแขกบ้างครับ นี่ขนมอะไร?” คุณฝนทองค้อนหลานชายคนโปรดอย่างหมั่นไส้
“ยังไม่มีชื่อหรอก หน้าตามันคล้ายๆ ขนมจีบ แต่ส่วนผสมไม่ใช่ ย่าเลยกะจะให้ชื่อว่า...ขนมซ่อนรัก ดีไหม” คำตอบเหน็บแนมแกมประชดนั้นทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง หน้าแดง พอแอบเห็นหญิงสาววางหน้าเรียบเฉยจ้องมองการประดิดประดอยของหญิงมากวัยอย่างชื่นชมก็นึกขัดใจหน่อยๆ ดูท่าเจ้าหล่อนจะไม่ได้คิดลึกซึ้งอย่างที่เจ้าของสูตรและเขาปรารถนาเอาเสียเลย
“แหม ท่าทางน่าสนุกจัง ขอหนูลองทำดูหน่อยได้ไหมคะ คุณยาย”
“เอ้า... ลอง นังกลอยเลื่อนชามแป้งให้คุณทรายซิ” ศุภิสรานั่งมองวิธีทำเพียงชั่วครู่ก็สามารถประดิษฐ์ออกมาได้สวยเหมือนต้นแบบไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เจ้าของสูตรนั่งยิ้มปลื้มไม่เสร็จ และเมื่อขนมเสร็จสรรพพร้อม สมาชิกอีกคนของบ้านวรรณยุกต์ก็ปรากฏกายขึ้น ร่างกะทัดรัดในชุดนอนหมีสีชมพูหวานเดินหัวซุนออกมาจากห้อง ปากตะโกนแจ้วๆ
“โอ้ย... หิวๆ มีอะไรกินบ้างคะ ว้าว... หอมจัง” พร้อมกับคำพูดเจ้าตัวก็เซเข้ามาร่วมวง มือเรียวคว้าขนมในจานหมับใส่ปากก่อนสะดุ้งโหยง แหกปากลั่นบ้าน คุณฝนทองส่ายหน้ามองหลานสาวตัวดีที่นั่งอ้าปากน้ำลายยืดอย่างอ่อนใจแกมขัน ตรีรักษ์ส่งยิ้มแหยๆ ให้ผู้เป็นย่า “ทำไมไม่บอกก่อนล่ะคะว่ามันร้อน”
“ย่ะ คงบอกทันหรอกนะ มาถึงก็คว้าหมับใส่ปาก แหม มันน่าหวดนักเชียวหลานฉัน สอนเท่าไหร่ไม่จำ ทำไมไม่หัดเอาอย่างหนูทรายบ้างล่ะลูก”
“อ้าว มาแต่เมื่อไหร่น่ะ ไม่ทันเห็น” คนมาใหม่หันไปทัก
“มาเมื่อเห็นนี่แหละย่ะ พี่ชายเราไปรับมาแต่เช้าแล้วล่ะ”
“ไงยะ เมื่อวานหายหั... เอ่อ ตัวไปไหนมา ทำไมไม่ยอมมาคัดตัวที่ชมรม”
“ก็ฉันไม่อยากเป็นต้นไม้นี่ อย่างนี้ใช้ได้หรือเปล่าคะคุณยาย” ท้ายประโยคคนพูดยื่นผลงานในมือให้ผู้มากวัยกว่าดู อาการนั้นทำให้คนเป็นเพื่อนขัดอกขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ตรงหน้าคุณฝนทอง
“ไหน ทำอะไรกันน่ะ แกะสลักเหรอ อี๋...” คนพูดทำท่าขนลุกขนพอง
“นี่แน่ะ แม่ตรี งานผู้หญิงยิงเรือน่ะ หัดเอาไว้ไม่เสียหลายหรอกนะจ๊ะแม่คู้ณ”
“ก็แล้วทำไมต้องมานั่งแกะสลักให้เมื่อยด้วยคะ ในเมื่อจับใส่ปากเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องมันก็อีเหมือนๆ กัน”
“เฮ้อ นี่แหละนะเด็กสมัยใหม่ ทำอะไรเอาง่ายเข้าว่า” คนเป็นย่าค้อนควัก “ดูอย่างหนูทรายบ้างสิ แกะสลักก็สวย ทำขนมขะต้ม ทำกับข้าวก็เก่ง เก่งการบ้านการเรือนแบบนี้ สมัยนี้หาไม่ได้อีกแล้ว ใครได้ไปครองก็เหมือนได้เพชรน้ำเอกไปประดับเรือน ไม่เหมือนแกใครได้ไปก็คงเหมือนได้เพชรเก๊จากโรงจำนำ ขายขี้หน้าวันละห้าเบี้ย”
“ค่ะๆ แม่คนนี้น่ะ อะไรก็ดีไปเสียหมดทุกอย่างเลย ฮึ” คนพูดแอบกระฟัดกระเฟียดประชดเอากับคนเป็นเพื่อนรัก “นี่แม่เพชรน้ำเอก ทำไมแกไม่มาประดับเรือนที่บ้านวรรณยุกต์ซะให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะจ๊ะแม่คุณ ฮึ สงสัยคุณย่าคงจะปลื้มน่าดูชมละ ดูแต่พี่โทสิ หน้าบานแฉ่งอย่างกับจานดาวเทียมแล้ว”
