ตอนที่ 8 ของฝากจากแดนไกล (4)
“แอบมาเล่นเปียโนที่นี่เอง พี่ตามหาตั้งนาน” เสียงถอนหายใจหนักๆ ทำให้อดห่วงไม่ได้ “ หรือมีเรื่องไม่สบายใจจ๊ะ?”
“เบื่อ... มนุษย์ค่ะ” หางเสียงที่ลากยาวทำให้คนฟังกระตุกยิ้ม
“ให้ทายไหมว่ามนุษย์คนนั้นคือใคร”
“เอาสิคะ”
“บอกมาก่อนว่าทายถูกจะได้อะไรเป็นรางวัล”
“ก็พี่โทอยากได้อะไรล่ะคะ ถ้าไม่แพงนักล่ะก็ ทรายจะหามาให้”
“สัญญาแล้วนะห้ามเปลี่ยนใจด้วย งั้นพี่ขอเดาว่ามนุษย์ที่น่าเบื่อนั้นก็คือ... ยัยตรี ใช่หรือเปล่า”
“ทำไมพี่โทถึงคิดว่าเป็นเขาล่ะคะ”
“ก็มันเป็นตัวยุ่งไง วันนี้ได้ยินมันโม้ว่าจะคัดตัวนักแสดง พี่ก็เลยแวะไปดูสักหน่อย” คนเล่ากุกกักในลำคอ “แหม... คัดกันซะมันส์หยดติ๋งเลย เมื่อกี้ตอนจะเข้าไปพี่ยังเกือบหัวแตก อ้อ นี่มันยังบอกด้วยนะ เห็นว่าจะจองบทให้”
“หา! คราวนี้ก้อนหินหรือต้นไม้คะ”
“นางเอก!” คนฟังสะดุ้งโหยง ดวงตาสวยเบิกกว้าง เงยหน้ามองตาปริบๆ
“หา... นางเอกละครลิงเหรอคะ” คราวนี้คนฟังไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป
“ทำหัวเราะไปเถอะพี่โท ให้เป็นอย่างอื่นก็พอว่า บทนางเอกนี้ต้องถวายบังคมลา ถ้าให้เล่นละครใบ้ล่ะก็ว่าไปอย่าง เฮ้อ... สงสัยระยะนี้ต้องหาที่หลบดีๆ ซะแล้ว ไม่งั้นแม่ตัวยุ่งนั่นเล่นไม่เลิก”
“ระวังจะตามไปเฝ้าถึงหน้าบ้าน” คนเป็นพี่ชายของตรีรักษ์เตือนขำๆ
“งั้นเรารีบกลับกันดีกว่า”
“อืม ดีเหมือนกัน” คนพูดกระตือรือร้น และทำเป็นลืมไปว่ายังจับมืออีกฝ่ายอยู่ จนเจ้าของมือต้องเตือน
“พี่โทคะ” ศุภิสรามองมือหนาที่เลื่อนมาจับที่ข้อมือตัวเองเชิงเตือน แล้วทันทีที่ข้อมือเป็นอิสระนั่นแหละเจ้าตัวจึงได้เห็น... สร้อยข้อมือสีทองเส้นน้อยมีจี้เล็กๆ เป็นรูปหัวใจที่แปลกตาคือเจ้าสัญลักษณ์ด้านในหัวใจดวงนั้นดูคล้ายกับรูปไม้โท
“สุขสันต์วันเกิดจ้ะ...”
“พะ... พี่โทจำได้...”
“ไม่เคยลืมต่างหาก” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น พลางอ้าแขนรับร่างบางระหงที่โถมเข้ามาอย่างอ่อนโยน
“ดูสิร้องไห้ซะจนตาแดงหมดแล้ว เดี๋ยวใครเห็นจะเข้าใจผิดหาว่าพี่รังแกเอา เสียชื่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์แย่เลย”
“ทรายขอโทษค่ะ” คนพูดเขินจนแก้มแดงระเรื่อ “เลยทำเสื้อพี่โทเปื้อนน้ำตาหมด”
“ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก” เขายีศีรษะเบาๆ ”ถ้าต้องการล่ะก็ อกพี่น่ะกว้างพอจะซับน้ำตาให้เราได้เสมอ นี่ดีนะเป็นน้องทราย ถ้าเป็นยัยตรีล่ะก็สงสัยจากเสื้อขาวมีหวังกลายเป็นเสื้อสารพัดสี ดูไม่จืดแน่ๆ” ศุภิสรายิ้มขำ เพราะจินตนาการเห็นเสื้อสารพัดสีที่ดูไม่จืดนั้นออก
“เย็นมากแล้วนะคะ เรารีบกลับกันดีกว่า” ชายหนุ่มรับคำพลางช่วยถือข้าวของให้ และเดินเคียงคู่กันเหมือนเช่นทุกวันจนกระทั่งรถมินิสีขาวแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยของคฤหาสน์บุรณากรณ์ จู่ๆ สารถีหนุ่มก็หันมาชวน
“พรุ่งนี้วันเสาร์ไปบ้านพี่กันนะ” พอเห็นดวงตาหวานมองกลับมาอย่างฉงน จึงขยายความ “คุณย่าน่ะสิ บ่นคิดถึง เห็นว่าจะลองขนมใหม่ อยากให้ช่วยไปชิม นะ... นะ ไปช่วยกันท้องเสียหน่อย”
“แน้ ไปว่าท่าน เจอเมื่อไหร่จะฟ้อง คอยดู”
“กลัวที่ไหน ก็พูดความจริงนี่นา คราวก่อนคุณย่าลองทำขนมอะไรไม่รู้ให้ชิม พี่กับยัยตรียังผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำทั้งคืน” คนเล่าทำหน้าสยดสยอง
“งั้นทรายไม่ไปดีกว่า กลัวต้องนอนเฝ้าห้องน้ำ”
“ไปเหอะน่า พี่ก็พูดไปงั้นแหละ นะ ไปให้คนแก่หายคิดถึงหน่อย บ่นกับพี่มาหลายวันแล้ว หูเฉาจะแย่”
“ไม่รู้สิคะ ต้องขอคุณลุงกับคุณท่านก่อน ถ้าอนุญาตก็ไปได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่บอกคุณย่าให้โทรมาขอเอง รับรองได้ไปแหงแซะ” คนพูดทำตาวิบวับอย่างเจ้าเล่ห์
“ตามใจค่ะ งั้นเดี๋ยวทรายขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิด...” ศุภิสราหัวเราะเสียงใส พลางยกข้อมือที่มีสร้อยน่ารักแกว่งไปมาเบาๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ทันใดนั้นเองข้อมือเรียวที่มีสร้อยน่ารักห้อยอยู่นั้นก็ถูกฉวยขึ้นจรดที่ริมฝีปากของคนให้อย่างนุ่มนวลรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
