ตอนที่ 4
“ฉันให้เวลาเธอกลับไปคิดหนึ่งวัน ไม่สิ...ต้องบอกว่าให้เวลากลับไปเตรียมตัวเตรียมใจถึงจะถูก”
วินาทีนี้ผู้ชายตรงหน้าเหมือนซาตานที่ผุดขึ้นมาจากนรกเพื่อบงการชีวิตของฉันโดยเฉพาะ
เพียงแค่เจอหน้ากันยังไม่ถึงวันเขาก็ควบคุมทุกอย่างได้ ราวกับเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่รอคอยเวลาเล่นงานฉันมาเนิ่นนาน และวันนี้ก็เป็นวันที่โอกาสนั้นมาถึงเขา
“โอเค งั้นฉันขอไปเตรียมตัวเตรียมใจก่อนล่ะ”
คำพูดของฉันที่เปล่งออกมา สามารถเรียกรอยยิ้มหวานหยดให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาได้เป็นอย่างดี
อันที่จริงฉันต้องบอกเขาว่า ‘ขอเวลาเตรียมตัวชิ่ง’ ต่างหากล่ะ
ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมทำงานกับเขา แค่เห็นหน้าก็ไม่ชอบแล้ว อย่าหวังว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ดังนั้นฉันเลยคิดว่า...ฉันควรจะหนีไปให้ไกลซะตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้หนี
[จบบันทึกพิเศษ: เตนล์]
[บันทึกพิเศษ: ปืน]
หลังจากที่ร่างบางของเด็กผู้หญิงคนนั้นเดินออกไป ดวงตาคมก็ยังคงมองจดจ้องตรงโซฟาที่เธอเคยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ละไปไหน ขณะเดียวกันนิ้วเรียวยาวก็กำลังเกลี่ยที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างใช้ความคิด
จากคำบอกเล่าของวายุเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ทำให้ผมรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อเตนล์ แถมยังเป็นหญิงสาวที่อายุเพียงแค่สิบเก้า แม้ว่าเธออาจจะดูไม่เด็กในสายตาคนอื่น แต่ทว่าเธอก็เด็กสำหรับผมอยู่ดี
ที่พูดแบบนี้ใช่ว่าเอ็นดู แต่เป็นเพราะว่าอายุของผมกับเธอมันห่างกันตั้งแปดปีต่างหากล่ะ
แล้วดูสิ ยัยเด็กนั่นให้ความเคารพผมที่ไหน ขนาดรู้ว่าผมเป็นเจ้านายยังมีหน้ามาต่อปากต่อคำอย่างกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
ทำตัวปีนเกลียวแบบนี้เห็นทีต้องสั่งสอนให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ซะบ้าง
“มึงเอาจริงเหรอวะปืน ที่จะให้เตนล์มาทำงานด้วยน่ะ”
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาทางกำราบเด็กพยศ เสียงของวายุก็ดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท
วายุเป็นทั้งมือขวาและเพื่อนสนิทของผม ดังนั้นจึงไม่แปลกนักที่มันจะใช้สรรพนามเรียกผมแบบนี้
“เอาจริงดิ เห็นแบบนี้พี่ก็ไม่ได้มาเล่นๆ นะครับ” ผมหันไปพูดกับวายุ พร้อมยักคิ้วให้อย่างยียวน
คำพูดของผมมันอาจจะดูเล่นๆ แต่ขอบอกเลยว่าคนอย่างผมพูดแล้วไม่คืนคำ
เวลาไหนอยากเล่นก็เล่น แต่ถ้าเวลาไหนจริงจังผมก็เต็มที่ ไม่มีใครคาดเดานิสัยของผมได้นอกจากตัวผมเอง
‘บางวันก็เป็นเทพบุตร บางวันก็เป็นปีศาจ’ นี่แหละตัวผม
“ชีวิตเตนล์มันน่าสงสารนะ กูอยากให้มึงปล่อยเด็กมันไปเถอะว่ะ”
ไอ้เรื่องนี้ผมก็รู้อยู่หรอกว่าชีวิตของยัยเด็กนั่นน่าสงสารยังไง เพราะวายุมันเล่าให้ผมฟังจนหมดเปลือกแล้ว
อันที่จริงตอนที่ผมรู้ว่ามีเด็กส่งยาปล่อยให้ยาถูกขโมยไปผมเองก็โมโหมากเหมือนกัน แม้ว่ามันจะไม่ใช่จำนวนมากมายอะไร แต่เงินที่สูญไปมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน
และเพื่อดัดสันดานคนทำงานพลาดผมก็เลยส่งลูกน้องหางแถวไปเรียกตัวคนนั้นมา เพื่อจะจัดการขั้นเด็ดขาด แต่ทว่ายังไม่ทันได้ไปเรียกวายุก็เข้ามาคุยกับผมซะก่อน พอได้รู้ข้อมูลหลายๆ อย่างของเธอจากปากวายุมันก็ทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหนึ่ง
แวบแรกก็สงสาร แต่พอได้คุยก็อยากจะบอกว่าสมควร
มีอย่างที่ไหนทำผิดแล้วแต่ไม่สลด เห็นทีผมคงจะใจดีด้วยไม่ได้
“หนุกๆ น่า อย่าซีเรียสนักเลย กับอีแค่ชีวิตคนๆ หนึ่ง”
“แต่การที่ให้เตนล์มาทำงานใกล้ชิดมึงมันเสี่ยงนะเว้ย”
วายุดูอารมณ์เดือดดาลขึ้นมาหลังจากที่ผมเอ่ยพูดประโยคนั้นออกไป
ก็ถูกของมันที่บอกว่าอยู่ใกล้ผมแล้วเสี่ยง ใครๆ ก็จ้องจะเล่นงานผมอย่างกับหมาลอบกัดด้วยกันทั้งนั้น
“มึงชอบเด็กนั่นเหรอ” คิ้วของผมเลิกขึ้นสูง พร้อมกับมองสบตาวายุเพื่อจับผิด
“กูรู้จักเตนล์มาตั้งแต่เด็กๆ ในสายตากูเตนล์ก็คือน้องสาวคนหนึ่ง”
จากที่มองก็ไม่เห็นว่าวายุจะแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เห็น ผมก็เลยสรุปได้ว่ามันน่าจะพูดความจริง
“ถ้ามึงเป็นห่วงน้องนอกไส้ขนาดนั้นก็ตามประกบเลยสิวะ ไปคอยดูเด็กนั่นด้วยเดี๋ยวแม่งหนี เพราะดูท่าทางแล้วเธอพร้อมชิ่งตลอดเวลา อ๋อ...แล้วอย่าลืมไปหว่านล้อมเธอมาทำงานให้ได้ด้วย กูมอบหมายหน้าที่นี้ให้มึงดูแลเลย”
ผมเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง มองปราดเดียวก็รู้ว่าท่าทีลุกลี้ลุกลนอยากจะออกไปจากห้องจนตัวสั่นมันส่อแววว่าเธอกำลังมีแผนการไม่ซื่อวนเวียนอยู่ในหัว
เธอยังเด็กเกินไปที่จะมาต่อกรกับผม เข้าใจไหมว่ากระดูกมันคนละเบอร์
ยัยเด็กนั่นแทบไม่มีอะไรที่สามารถงัดออกมาสู้กับผมได้เลยสักนิด
“กูล่ะสงสารเตนล์จริงๆ เลยที่ต้องมาเจอคนแบบมึงเนี่ย”
ผมจะถือว่านั่นคือคำชมละกัน...
[จบบันทึกพิเศษ: ปืน]
“ยังไม่ตายอีกเหรอ”
เมื่อฝ่าเท้าย่างก้าวเข้าไปในบ้านได้เพียงแค่ก้าวเดียว ฉันก็ได้รับการทักทายแบบนี้กลับมา
“ที่เห็นอยู่นี่ผีมั้งเนี่ย” ฉันประชดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
เห็นน้องกลับมาบ้านแทนที่จะปลอบใจ แต่ไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจนัก
“แล้วนี่นายว่าไงบ้าง”
ไม่รู้ว่าพี่ต้นถามด้วยความเป็นห่วงหรือแค่อยากเสือกกันแน่ แต่เอาเป็นว่าฉันไม่บอกดีกว่า
“พี่ไม่ต้องรู้หรอก แต่ต่อไปนี้เตนล์อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วนะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตากับพี่ต้น ก่อนจะเดินเฉียดตัวพี่เขาขึ้นไปชั้นสองของบ้านที่เป็นไม้ทั้งหมด สภาพของมันทั้งเก่าทั้งซีด จนฉันกลัวว่าสักวันมันจะพังโครมลงมาแล้วตายห่ากันหมด
ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่สภาพมันดูสวยงามกว่านี้ อะไรๆ มันก็ดีไปหมด แต่พอไม่มีเงินก็ไม่มีปัญญาตกแต่งและซ่อมแซมในส่วนที่ผุพัง
ถ้าคนภายนอกมองเข้ามาก็ดูไม่ต่างอะไรกับบ้านผีสิง
“เดี๋ยว แล้วมึงจะไปไหน”
ฝ่ามือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางเพื่อให้หยุดเดิน ฉันเอี้ยวตัวหันหลังไปมองพี่ต้นเล็กน้อย พร้อมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ไปไหนก็ได้โตแล้ว”
และแน่นอนว่าฉันไม่อยู่รอให้พี่ต้นมีโอกาสยกมือขึ้นตบศีรษะของฉัน จบประโยคนั้นก็สะบัดข้อมือออกจากการจับกุมแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเองทันที
แต่ตอนวิ่งนี่สิ แม่งเอ๊ย...บันไดจะพังป่ะวะ?
ทว่าฉันก็สามารถขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านได้อย่างปลอดภัย เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่ทำก็คือการเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบกระเป๋าเป้ออกมา แล้วจัดการเอื้อมมือไปคว้าเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ออกจากไม้แขวน จากนั้นก็จับมันยัดลงกระเป๋าลวกๆ ด้วยความเร่งรีบ
“สรุปมึงจะไปไหน”
เสียงทุ้มของพี่ต้นดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง แต่ฉันก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บของสำคัญของตัวเองกวาดเข้ากระเป๋าเป้ที่ถืออยู่
“เตนล์จะไปอยู่ที่อื่น” น้ำเสียงของฉันค่อนข้างติดหอบนิดๆ เนื่องจากต้องเดินวนไปวนมาในห้องเพื่อหยิบของ
สิ่งที่ฉันจะเอาไปนอกจากเสื้อผ้าก็คือเงินที่เก็บเอาไว้ในกล่องใต้เตียง และรูปถ่ายครอบครัว
อย่างน้อยฉันก็อยากจะเอารูปนี้ไปไว้ดูเวลาคิดถึง จะได้ให้ความรู้สึกว่าครอบครัวยังคอยอยู่ใกล้ๆ ฉันเสมอ
ขอแค่ได้มองรูปถ่ายก็ยังดี...
