บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5

“แล้วทำไมต้องไป”

ร้อยวันพันปีพี่ต้นไม่เคยเป็นคนที่ขี้สงสัยแบบนี้เลย ทำไมถึงนึกมาเป็นเอาวันนี้ คนถามอาจจะไม่ต้องการอะไรนอกจากคำตอบ

แต่คนตอบนี่สิไม่มีแม้แต่คำตอบจะให้ ความตั้งใจของฉันคือไปแล้วไปลับ ไปแบบไม่ทิ้งให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องมาคอยแก้ปัญหาให้

ดังนั้นก็เลยเลือกที่จะไม่ให้พี่ต้นรับรู้อะไรดีกว่า เพราะถ้าพี่เขาไม่รู้อะไร คนพวกนั้นก็จะได้ไม่ต้องมาคาดคั้นเอาคำตอบกับพี่ชายของฉันได้

“พี่ต้นไม่รู้อะไรจะดีที่สุดนะ ถ้าพี่ยังไม่อยากตายอ่ะ” จะคิดว่าฉันขู่ก็ได้ เพราะนั่นมันไม่ใช่ความคิดที่ผิด

แล้วฉันก็รู้นิสัยพี่ต้นดีด้วย ว่าเขาย่อมเป็นห่วงชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าอะไร ถ้าพี่ต้นเป็นห่วงฉันจริงก็คงจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนฉันตั้งแต่ตอนที่คุยกับตาลุงนั่นแล้วล่ะ

“โอเค งั้นกูไม่อยากรู้ก็ได้ แล้วนี่จะไปนานมั้ย”

เห็นไหมล่ะ ฉันพูดผิดที่ไหน

“ก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมา” ฉันตอบพี่ต้น ขณะที่ยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลังเมื่อเก็บของสำคัญและจำเป็นเรียบร้อยแล้ว

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือไงวะเนี่ย”

สำหรับคนอื่นก็อาจจะไม่ร้ายแรงหรอก เพราะมันก็แค่ทำงาน แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่อย่างนั้น

บอกตรงๆ เลยว่าฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขา แม้ว่างานที่เขาเสนอมาให้มันจะสามารถชดใช้ค่ายาที่ถูกขโมยไปได้

แต่ว่ายังไงการที่อยู่ใกล้เขามันก็อันตรายอยู่ดี แค่มองหน้าก็ไม่ถูกชะตา แล้วนี่จะให้ไปอยู่ใกล้กัน ถามหน่อยเถอะว่าบ้าหรือเปล่า?

เป็นโรคประสาทเหรอ? หาหมอหน่อยไหม?

“มันร้ายแรงสำหรับเตนล์น่ะพี่ต้น อยู่ที่นี่ก็ขอให้โชคดีนะ ถ้าเตนล์ยังไม่ตายก็จะติดต่อกลับมาหา”

ฉันเดินเฉียดไหล่พี่ต้นออกมาจากห้อง แล้วลงบันไดไปยังชั้นล่าง ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ใจมาสวมใส่ แล้วเดินออกจากบ้านมา

แต่ก่อนจะไป ฉันก็ไม่ลืมที่จะหมุนตัวหันหลังกลับไปมองบ้านของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ๆ เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์

สภาพของบ้านสามารถบ่งบอกช่วงเวลานั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ในตอนที่มันสวยงามทุกอย่างก็ล้วนเต็มไปด้วยวันแห่งความสุข และกลับกันในวันที่มันผุพังก็เปรียบเสมือนช่วงเวลาที่ชีวิตของเราสองพี่น้องกำลังพังพินาศ ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้กับบ้านของตัวเอง

มือบางกระชับสายกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง ขณะที่สองเท้าก็กำลังก้าวเดินออกมา หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดจากมือปริศนา มันทั้งอึดอัด และรู้สึกหน่วงในใจไปพร้อมๆ กัน

“จะไปไหนเตนล์”

แต่แล้วสองเท้าของฉันก็จำต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ เมื่ออยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะการก้าวเดิน น้ำเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของพี่ต้น หากแต่เป็น...

“พี่วายุ” ริมฝีปากบางขยับเอ่ยเรียกชื่อบุคคลตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก ดวงตาคมของพี่วายุที่มองมาทำให้หัวใจของฉันกระตุกวูบ พลางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

แบบนี้เขาเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ เลย

“แหะๆ เจอกันอีกแล้ว บังเอิ๊ญบังเอิญจังเลยนะคะ” ฉันส่งยิ้มแหยะๆ ให้ร่างแกร่งตรงหน้า ประโยคที่ขึ้นเสียงสูงนั้นเหมือนกำลังพูดหยอกกันเล่น แต่มันกลับไม่ตลกเลยสักนิด ถ้าจะตลกก็คงจะเป็นตลกร้ายเสียมากกว่า

สีหน้าของพี่วายุที่เรียบนิ่งทำให้ลมหายใจของฉันถึงกับติดขัด แค่มองสบดวงตาคมคู่นั้นก็ทำให้ฉันรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังถูกกดดันอยู่

“กำลังจะหนีงั้นเหรอ” พี่วายุเอ่ยถามออกมาอย่างรู้ทัน

“เอ่อ...กำลังจะออกไปหาอะไรกินค่ะ”

รู้ตัวอยู่หรอกว่าคำพูดของฉันมันเป็นอะไรที่แก้ตัวไม่ขึ้น แต่ก็เอาเถอะ เผื่อพี่วายุจะเชื่อ หน้าตาใสซื่อขนาดนี้จะโกหกได้ไง

“แล้วทำไมต้องเอากระเป๋าไป แถมกระเป๋ายังตุงขนาดนั้น ทำตัวอย่างกับหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่อื่น”

คำถามชุดใหญ่ที่พี่วายุย้อนกลับมาทำให้ฉันแสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาทันใด นี่มันไม่ใช่การรู้ทันธรรมดา แต่พี่วายุกำลังรู้ทันโคตรๆ ต่างหากล่ะ

“เลิกเป็นลูกน้องตาลุงนั่นแล้วไปเป็นตำรวจดีมั้ยพี่ ท่าทางจะรุ่ง”

นี่ฉันไม่ได้ประชด แต่กำลังพูดตามเนื้อผ้าที่เห็น พี่วายุสังเกตและจับผิดคนเก่ง ฉันว่าน่าจะเก่งกว่าตำรวจหลายๆ คนเลยด้วยซ้ำ

“ตามพี่มาหน่อย พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเตนล์” ร่างสูงเดินนำฉันไปยังรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกล ฉันกำลังลังเลอยู่ว่าจะตามพี่เขาไปดีหรือเปล่า ถ้าฉันขึ้นไปคุยกับพี่เขาบนรถคันนั้นมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกใช่ไหม?

“...”

“ขึ้นไปคุยกันบนรถเถอะ นายไม่อยู่ไม่ต้องกลัว” พี่วายุหยุดเดินแล้วหันกลับมาบอกฉัน เมื่อเห็นว่าฉันยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่กับที่ไม่ยอมเดินตามพี่เขาไปสักที

“ก็ได้ค่ะ แต่แค่แป๊บเดียวนะ” หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักพักฉันก็จำต้องเดินไปขึ้นรถตามที่พี่เขาบอก โดยไม่ลืมที่จะหยิบยกข้อต่อรองออกมาพูดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel