บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ดวงตาของฉันเบิกกว้าง พอสายตาเห็นทัศนียภาพตรงจุดนั้นชัดเจนมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าเสียงๆ นั้นคือเสียงอะไร และพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

ภาพของชายหญิงสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง และซุกไซ้กันอย่างนัวเนียทำให้ลมหายใจของฉันสะดุดกึก

บอกตามตรงเลยว่าฉันยอมเจอผีดีกว่ามาเจอภาพบัดสีบัดเถลิงแบบนี้

“มองจ้องขนาดนั้นอยากจะเข้ามาร่วมแจมด้วยมั้ยล่ะ”

ร่างบางของฉันสะดุ้งโหยง เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าจ้องมองสองคนนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนนั้นตวัดสายตาหันมามอง

เขาผละออกมาจากผู้หญิงที่เคยนัวเนียอยู่ก่อนหน้านี้แล้วเดินตรงเข้ามาหาฉันที่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ พอมองเลยไปด้านหลังเขา ฉันก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดใจอยู่ในความมืด

ทว่าเมื่อผู้ชายร่างสูงโปร่งคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ดวงตากลมโตก็จำต้องเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม

จุดที่ฉันยืนอยู่ ณ ตอนนี้มีแสงสว่างอยู่เล็กน้อย ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน

นอกจากรูปร่างจะสูงโปร่งดูดีแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาก็ไม่ได้น้อยหน้ากันเลยสักนิด ไหนจะผมสีเงินที่ถูกจัดทรงให้ดูเท่เหมาะกับบุคลิกของเขานั่นอีก

ผู้ชายคนนี้แทบจะหาอะไรมาติไม่ได้เลยจริงๆ แต่น่าเสียดาย...ที่การกระทำดูต่ำไปหน่อย

ไม่มีคนปกติที่ไหนชอบกินตับกันโจ่งแจ้งแบบนี้หรอก ใครเค้าก็กินกันในที่ลับตาทั้งนั้น หรือว่าเป็นพวกชอบโชว์?

“...” ฉันยืนนิ่งปิดปากเงียบอยู่นาน เพื่อกวาดสายตามองสำรวจเขาอย่างพินิจและพิจารณา ขณะที่ในใจก็กำลังแอบด่าเขาไปด้วย

“ที่มองหน้านี่ข้องหรืออยากเข้าห้องด้วยกัน หืม?”

ประโยคนั้นที่โพล่งออกมาจากปากหนาทำให้ฉันแทบจะสำลักอากาศที่ตัวเองกำลังหายใจอยู่

“แหม...ลุงคะ คนนะไม่ใช่ตุ๊กตายาง เจอปุ๊บก็ชวนเข้าห้องเลยเหรอ”

ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บเขาไปด้วยคำพูดจาที่เจ็บแสบ

“เรียกใครลุง?”

แต่ทว่าเขากลับสนใจคำอื่นมากกว่า สีหน้าตึงๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้นสามารถบ่งบอกฉันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวว่าเขากำลังไม่ชอบใจ

“เฮียปืนขา อย่าไปสนใจเด็กมันเลยค่ะ เราไปสนุกด้วยกันเถอะนะคะ เดี๋ยวริชชี่จะพาขึ้นไปบนห้องนะ”

หึ...ริดสีดวงล่ะสิไม่ว่า

รอยยิ้มหยันกระตุกขึ้นที่มุมปากของฉัน พอเห็นท่าทางเรียกแขกของเธอแล้วฉันก็อดที่จะเบะปากและกลอกตามองบนไม่ได้

“ตามสบายนะคะ เรื่องเมื่อกี้ที่เห็นฉันไม่บอกใครหรอก ถือซะว่าโดนผีหลอกละกัน”

จบประโยคนั้นฉันก็หมุนตัวหันหลังแล้วเดินออกมาจากพวกเขา

โดนผีหลอกแบบนี้สงสัยต้องรีบไปหาน้ำมนต์มาล้างตาซะแล้วล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงฝันร้ายทั้งคืนเป็นแน่

ตึก...ตึก...ตึก...

เสียงฝีเท้าที่ดังตามไล่หลังมาทำให้ฉันหยุดชะงักอีกครั้งแล้วหันหลังกลับไปมอง

“นี่ลุงตามฉันมาทำไม”

ความจริงเขาก็ไม่ได้แก่อะไร แต่ฉันแค่หมั่นไส้ในความเป็นเฒ่าหัวงูของเขาต่างหาก ก็เลยสะดวกที่จะเรียกเขาแบบนี้

“สงสัยติดใจฝีปากจัดๆ ของเธอมั้ง เลยตามมาให้ด่าอีก”

ฉันจะถือว่าประโยคนี้ของเขาคือคำชมละกัน

แกร๊ก...

“พี่วายุสวัสดีค่ะ” ฉันเลิกสนใจผู้ชายปากหมาที่ยืนอยู่ด้านหลัง มือทั้งสองข้างยกขึ้นไหว้ร่างสูงโปร่งอีกคนที่เปิดประตูออกมาจากห้องๆ หนึ่ง

พี่วายุคือมือขวาของนาย และฉันก็ได้ยินหลายๆ คนพูดกันว่าพี่วายุพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของนายอีกด้วย

ตลอดเวลาที่ฉันเป็นเด็กส่งยาก็ได้พี่วายุนี่แหละคอยช่วยเหลือและดูแล แต่จริงๆ แล้วพี่วายุก็ดูแลพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ เพราะนายไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยๆ นัก อีกอย่างคือเข้ามาทีไรก็ใช่ว่าจะมาสุงสิงกับเด็กส่งยาอย่างพวกเราสักหน่อย

“ว่าไง ไปก่อเรื่องใหญ่มาล่ะสิ”

พี่วายุพยักหน้ารับไหว้ ก่อนจะเอ่ยถามถึงเรื่องนั้นที่ทำให้ฉันต้องมายืนอยู่ ณ จุดนี้

“นายโกรธเตนล์หรือเปล่า”

ฉันถามอย่างหยั่งเชิง เพื่อที่จะได้ทำใจเอาไว้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ทว่าคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันของร่างสูงตรงหน้าทำให้หัวใจของฉันกระตุกวูบ

“นายก็ยืนอยู่ข้างหลังเตนล์ไง นี่ไม่ได้คุยกันมาแล้วเหรอ” ดวงตาคมของพี่วายุมองเลยไปทางด้านหลังฉัน

สันหลังรู้สึกเย็นวาบเมื่อประโยคนั้นสิ้นสุดลง ขออย่าให้เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้เถอะ

พรึ่บ!

วงแขนแข็งแกร่งตวัดขึ้นมากอดคอฉันเอาไว้จนรู้สึกหนัก และเหนืออื่นใดก็คืออาการหวาดกลัวจนตัวสั่นของฉันเอง

คิดว่าต้องใช่ ต้องใช่แน่ๆ...

“ป่ะ! เดี๋ยว ‘ลุง’ จะพาเข้าห้อง ‘เชือด’ นะอีหนู”

จบประโยคเยือกเย็นของเขาร่างบางของฉันก็ถูกกระชากเข้าไปในห้องที่พี่วายุพึ่งเดินออกมาเมื่อกี้

“ปล่อยนะ!” ฉันสะบัดตัวผละออกจากร่างสูง และตาลุงนั่นก็ยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระแต่โดยดี

พี่วายุที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินตามเข้ามา ก่อนจะปิดประตูและล็อกลูกบิดให้อย่างเสร็จสรรพ

“นั่งลง” น้ำเสียงและแววตาของร่างสูงโปร่งตรงหน้าเต็มไปด้วยความกดดัน เห็นแบบนี้แล้วฉันก็คิดว่าตัวเองกำลังจะถูกเชือดอย่างที่เขาว่าจริงๆ

เท้าทั้งสองขยับก้าวไปที่โซฟาเดี่ยว แล้วหย่อนก้นนั่งอย่างว่านอนสอนง่ายและเจียมเนื้อเจียมตัว

ตอนนี้ฉันกำลังข่มอาการหัวร้อนของตัวเองเอาไว้ พยายามเหยียบให้มิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพราะคนตรงหน้ามีศักดิ์เป็นถึง ‘นาย’ ซึ่งเขามีสิทธิ์ในการกำหนดชะตาชีวิตของฉันต่อจากนี้ ถ้าหากฉันวู่วามและปากดีเหมือนอย่างก่อนหน้า คงไม่แคล้วถูกลูกตะกั่วเจาะสมองเป็นรูโบ๋

“ไปทำอีท่าไหนถึงปล่อยให้ของสำคัญขนาดนั้นถูกขโมยไปได้”

ร่างสูงยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยทวงท่าที่สบาย แต่ยังไงน้ำเสียงของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไหนจะสายตาที่เขามองจดจ้องมานั่นอีก ฉันไม่สามารถไว้ใจเขาได้เลยจริงๆ

“ยังไม่ทันได้ทำท่าไหนเลย เผลออีกทีก็เอ้า! โดนขโมยไปแล้ว”

ในเมื่อเขากำลังอยู่ในท่าทางที่สบาย งั้นโอเค ฉันก็ขอพูดแบบสบายๆ ด้วยคน

“เตนล์” เสียงของพี่วายุที่ดังแทรกขึ้นมาเหมือนจะกำลังพูดปรามฉันอยู่กลายๆ

“รู้ใช่มั้ยว่ายาพวกนั้นคือเม็ดเงินมหาศาล”

คนตรงหน้าเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา และฉันจะทำอะไรได้นอกซะจากจริงจังไปตามเขา

พอสถานการณ์กลับมาอยู่ในจุดที่เคร่งเครียด ฉันจึงต้องลอบถอนหายใจอีกครั้งเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นของตัวเอง

“ฉันรู้ตัวว่าทำพลาด เดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”

“แล้วเธอจะชดใช้ยังไงหืม?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงพร้อมด้วยสีหน้าตั้งคำถาม

เออ...นั่นสิ แล้วฉันจะชดใช้ยังไงดี?

“ก็เป็นเด็กส่งยาต่อไปเรื่อยๆ”

หลังจากที่ใช้สมองครุ่นคิดไปตั้งสองวินาทีฉันจึงตัดสินใจพูดออกไป ความจริงแล้วต่อให้ฉันเป็นเด็กส่งยาไปจนตายยังไงก็ชดใช้ไม่หมดหรอก

เผลอๆ คงได้ไปนอนในคุก หรือไม่ก็โดนกระทืบตายซะก่อน

“หน้าตาดีแบบนี้เลิกเป็นเด็กส่งยามาเป็นเด็กเฮียดีกว่าอีหนู”

ข้อเสนอของเขาทำให้ฉันแค่นเสียงหัวเราะออกมา พลางกระตุกยิ้มหยันที่มุมปาก

อย่าหาว่าฉันลามปามคนแก่เลยนะ แต่จะบอกว่า...

“เอาเวลาเต๊าะเด็กไปซื้อโลงนอนเถอะลุง”

ด้วยรัก และ Fuck You…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel