บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 - สถานะคลุมเครือ 2

“ขอบคุณพี่หมอมากนะ สำหรับอาหารมื้อนี้ มันอร่อยสุดๆ ไปเลยค่ะ”

ฉันกล่าวคำขอบคุณพร้อมฉีกยิ้มกว้างหลังจากที่หมอภัทรขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านโดยสวัสดิภาพ

หลังจากดินเนอร์เสร็จก็แวะเดินเล่นที่สวนสาธารณะสักพักใหญ่ๆ พร้อมคุยกันไปเรื่อยเปื่อยถึงสารทุกข์สุขดิบ

“ถ้าอร่อยเดี๋ยวพี่พาไปกินบ่อยๆ เลยดีไหม”

“ก็ได้นะ แต่ว่าครั้งหน้าต้องให้ลินเป็นฝ่ายเลี้ยงพี่คืนบ้าง”

“โอเคครับ ถ้าเรามีเวลาว่างตรงกันค่อยมาเจอกันใหม่นะ” คนตัวโตยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆ น้ำเสียงท่าทางของพี่หมอยังคงอบอุ่นสำหรับฉันเสมอ

แต่แล้วจู่ๆ ภาพของใครบางคนกลับลอยเข้ามาในความคิด ฉันเอาแต่คิดถึงผู้ชายคนนั้น เมื่อไหร่พี่โซ่จะใจดีแบบนี้บ้าง ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงรู้สึกฟินน่าดู

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวกลับก่อนนะ”

“ขับรถดีๆ นะคะ”

ฉันโบกมือลาพี่หมอก่อนจะมองตามรถเบนท์ลีย์ที่ค่อยๆ ขับออกไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนดักรออยู่ก่อนหน้านั้น

พลั่ก! ฉันเซถลาไปตามแรงชนอย่างแรงจนเกือบเสียหลักล้มเมื่อหันกลับมาแล้วชนกับแผงอกแกร่งเข้าอย่างจัง แต่โชคดีที่ไม่ล้มหัวทิ่มเข้าซะก่อน เพราะพี่โซ่จับแขนไว้ทัน

“ตะ…ตกใจหมดเลย พี่มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย” กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนอกของพี่โซ่อย่างไม่แรงนัก โทษฐานที่มาทำให้ตกใจ

“ปิดเครื่องทำไม?”

“ไม่ได้ปิด แค่แบตหมด”

“…..” คนตัวโตนิ่งเงียบพลางไล่สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ฉันกลับโนสนโนแคร์ ยิ้มยั่วๆ ให้เขาไปหนึ่งที

“มารอนานหรือยัง ลินนึกว่าพี่กลับไปตั้งนานแล้วซะอีก”

“รอตั้งแต่เลิกงาน”

“ก๋วยเตี๋ยวน่ากินจัง ซื้อมาฝากลินใช่ไหม ขอบคุณนะ”

ฉันชี้ไปยังถึงก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่อยู่ในมือเขา ซึ่งตอนนี้เส้นมันอืดไปหมดแล้ว ดูยังไงก็ไม่น่ากินแต่ผู้ชายอุตส่าห์ซื้อมาให้ถึงขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าปฏิเสธไม่ลง

“เธอไปกินข้าวกับมันคงอิ่มแล้ว แค่ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาของพี่ไม่ต้องสนใจหรอก” ไม่ใช่พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่เขาจงใจกระแทกเสียงใส่คล้ายกับหงุดหงิด

“ยังไม่ค่อยอิ่ม กำลังอยากกินก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี”

“…..” เขารีบชักมือกลับในขณะที่ฉันกำลังจะแย่งถุงก๋วยเตี๋ยวมาถือไว้เอง

“พี่โซ่! พี่เป็นอะไรเนี่ย” ฉันยืนกอดอกจ้องหน้าคนตัวโตกลับคืน ปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธหรือไม่พอใจอะไรสักอย่าง

“หรือว่าหึงลินกับพี่หมอ?”

“…..”

“ต้องใช่แน่ๆ เลย พี่หึงลินกับพี่หมอจริงๆ ใช่ไหม บอกมานะ?” ฉันหรี่สายตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด ก่อนจะบีบจมูกโด่งเบาๆ อย่างนึกมันเขี้ยว

ทำเป็นเย็นชาไม่สนใจ แต่พอฉันไปกับผู้ชายคนอื่นกลับมาแสดงอาการหึงหวง แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าปากแข็งแล้วจะเรียกว่าอะไร!

“เปล่า”

“อย่ามาโกหก ถ้าไม่หึงแล้วจะมาหงุดหงิดใส่ลินทำไม”

“…..”

“ลินกับพี่หมอภัทรรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว เราเป็นพี่น้องกันค่ะ”

“เขาคิดกับลินแค่น้องหรือเปล่า?”

“เขาชอบลิน”

“แล้วลินชอบเขาหรือเปล่า?”

“แต่ลินว่าพี่หมอภัทรก็ดีนะ หล่อนิสัยดี” ฉันตั้งใจทำตัวยั่วประสาท เพราะอยากรู้ว่าพ่อขั้วโลกเหนือจะมีปฏิกิริยายังไง

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” เป็นเหมือนที่คิด พี่โซ่จิ๊จ๊ะใส่พร้อมเบือนหน้าหันหนี

ทุกอย่างชัดเจน! แบบนี้คือหึงแน่นอน อาการนี้ฉันเคยเป็นมาก่อนทำไมจะไม่รู้

“แน่ะ! พี่โซ่หึงลินจริงๆ ด้วยอ่ะ”

“…..” พอจับได้ถึงกลับถอนหายใจใส่ แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

“เริ่มชอบลินขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”

“…..”

“ชอบก็บอกว่าชอบสิ ไม่เห็นจะเป็นอะไร ขนาดลินชอบพี่ ลินยังบอกตรงๆ เลย”

“วันนี้พี่เอารถมา เธออยากไปนั่งรถเล่นด้วยกันก่อนไหม”

เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนจะมองไปยังรถเก๋งคันเก่าที่จอดอยู่ด้านหลัง สาเหตุที่เขาไม่ค่อยชอบขับรถไปไหนมาไหนเพราะให้เหตุผลว่าเปลืองน้ำมัน นานๆ ถึงจะเอาออกมาขับที

“พี่ไม่ได้รำคาญลินแล้วใช่ไหม”

“ไม่เคยรำคาญ”

“แต่การกระทำมันฟ้องว่าพี่รำคาญลิน”

“เธออ่านใจคนอื่นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ประโยคนี้เขาหันมาสบตา ก่อนจะจับมือฉันไว้แน่นแล้วพาเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ ยังไม่ได้ตอบตกลงสักหน่อยว่าจะไปด้วย มัดมือชกกันชัดๆ

“ถ้าอ่านใจคนไม่ได้ก็อย่าคิดไปเอง”

“…..”

“ทำงานวันนี้เหนื่อยไหมคะ?” ฉันหันไปถามคนข้างๆ ที่กำลังใจจดจ่ออยู่กับการขับรถ

เขาเลิกงานดึกแต่ยังแวะมาหา แถมยังนั่งรอที่นานบ้านตั้งนานสองนาน ไม่ให้รักยังไงไหว

“วันนี้แขกไม่ค่อยเยอะ เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่”

“แล้วมีผู้หญิงมายุ่งกับพี่บ้างไหม?”

“ก็มี แต่พี่ไม่ได้สนใจ”

“ถ้ามีคนมายุ่งกับพี่ ให้บอกเขาไปเลยนะว่ามีแฟนแล้ว”

“อืม”

ได้ยินเขาตอบกลับแค่นั้นก็ดีใจมากแล้ว นั่นหมายความว่าเขายอมรับว่ามีฉันเป็นแฟน

“แล้วถ้ามีผู้ชายมายุ่งกับเธอบ้างล่ะ เธอจะบอกเขาว่าอะไร?”

“ก็บอกว่ามีแฟนแล้ว ลินไม่ยุ่งกับใครหรอก”

“…..” เขารั้งใบหน้าของฉันให้เข้าหาก่อนจะหอมแก้มเบาๆ

“ลินขอบอกให้คนอื่นรู้ได้ไหมว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน อยากบอกคนอื่นจะแย่อยู่แล้วอ่ะ”

“…..”

“ไม่บอกก็ได้ รอให้พี่เป็นคนบอกเองน่าจะโอเคกว่าเนอะ” เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับ ก็รู้คำตอบว่าคงไม่ได้ ฉันเอนใบหน้าซบลงบนไหล่หนาพร้อมพรมจูบที่ลำคอของเขาหลายครั้งอย่างหวงแหน

-อู่ซ่อมรถ-

“น้าศักดิ์มีคนมาหา”

ศักดิ์ดาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงพนักงานในร้านเข้ามาตาม ขณะที่กำลังวุ่นวายกับการรีบซ่อมรถส่งลูกค้า

“ใครมาวะ ใช่ลูกค้าที่ข้านัดไว้หรือเปล่า?”

“ไม่ใช่น้า คนนี้เป็นผู้หญิงดูท่าทางจะรวยมากด้วยนะ สงสัยจะเอารถมาให้น้าซ่อมล่ะมั้ง”

“เออๆ เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

“นั่งรออยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนหลังร้าน”

เขารีบล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ก่อนจะเดินไปยังหลังร้าน แล้วพบกับบุคคลที่ไม่คาดฝัน

“พิไล!”

ศักดิ์ดาเรียกชื่อเธอคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ‘พิไล’ นั้นเป็นชื่อเก่า แต่ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก แต่เป็นถึงภรรยาเจ้าสัวที่รวยระดับแสนล้าน

“ไม่เจอกันตั้งนาน แต่สภาพพี่ก็ยังมอซอเหมือนเดิมเลยนะ” มิรันตีถอดแว่นตาดำราคาแพงออกจากใบหน้าพลางปรายสายตามองไปยังอดีตคนรัก ตอนอยู่กับเธอเคยเป็นยังไง จนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม

“…..” เขารีบจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตา เพราะที่ผ่านมายังคงคิดถึงเธอตลอด ไม่เคยลืมเธอได้เลย

“ฉันมาหาลูก”

“ตอนนี้ไอ้โซ่มันไปเรียน กว่าจะกลับก็คงบ่ายๆ ค่ำๆ”

“ฉันอยากเจอลูก”

“ไอ้โซ่มันคงไม่ได้อยากเจอเธอนักหรอก กลับไปซะเถอะ!”

“ฉันอยากคุยกับลูก อยากจะมารับโซ่ไปอยู่ด้วย”

ผู้เป็นแม่ยังคงรู้สึกผิดในใจ ตอนนั้นมีความจำเป็นที่ต้องทิ้งลูกไว้ ที่ผ่านมายังรู้สึกคิดถึงลูกอยู่ตลอด

เธอออกตามหาพวกเขาสองคนอยู่นานหลายปี จนได้มารู้ที่อยู่ใหม่ก็พยายามแวะเวียนมาหา แต่โซ่ก็ปฏิเสธไม่ยอมออกมาเจอหรือพูดคุย ถึงแม้จะเป็นแม่ที่แย่ แต่ก็ยังอยากได้โอกาสจากลูกชายอีกสักครั้ง

“…..” หัวอกคนเป็นพ่อรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก เขาเลี้ยงโซ่มากับมือด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ไม่อยากให้ลูกต้องห่างไปไหน

“ตอนนี้ฉันมีให้ลูกทุกอย่าง มีมากกว่าที่เขาต้องการ”

“เธอก็น่าจะรู้ว่าไอ้โซ่มันโกรธเธอมากแค่ไหน ถ้าไม่อยากให้มันเกลียดไปมากกว่านี้ อย่าพยายามมาเจอมันอีกเลย”

“ถ้าพี่ช่วยพูด ยังไงโซ่ก็ต้องยอมใจอ่อนไปกับฉัน พี่ไม่อยากให้ลูกมีชีวิตดีๆ หรือไง”

“…..”

“ฉันขอเถอะนะพี่ศักดิ์ ถือว่าเห็นแก่ลูก”

“…..”

“เห็นแก่อนาคตของลูกได้ไหม”

“เดี๋ยวพี่จะลองคุยกับมันให้แล้วกัน”

“…..”

“เธอเป็นยังไงบ้าง พี่เห็นออกข่าวทีวีใหญ่โต ไปใช้ชีวิตอยู่กับเขาคงสุขสบายกว่าอยู่กับพี่ใช่ไหม” ศักดิ์ดาถามอดีตคนรักด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เธอดูสวยสง่าสวมใส่เครื่องประดับราคาแพงหลายสิบล้าน ต่างจากเขาที่มอซอตามตัวเลอะไปด้วยคราบน้ำมัน

“เรื่องอดีตพวกนั้นฉันลืมมันไปหมดแล้ว” มิรันตีตอบอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะยื่นเช็คเงินสดจำนวนสิบล้านบาทให้แทนคำขอบคุณที่เลี้ยงลูกเธอมา

“ถ้าพี่ทำให้ลูกใจอ่อนได้ ฉันจะให้พี่มากกว่านี้”

“เก็บเงินของเธอไว้เถอะ พี่ไม่ต้องการ” ศักดิ์ดาปฏิเสธรับเงินก้อนโต ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น เขารักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ต้องการเงินหรือให้ใครมองว่าขายลูกกิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel