ตอนที่ 5
ผับ TG
“กินไรกันวะ” ไอ้บิวถามขึ้นมาเมื่อพวกผมหาที่นั่งดื่มกันได้แล้ว ซึ่งก็เป็นห้องส่วนตัวแบบ VIP ที่พวกผมชอบมานั่งกินเหล้าสังสรรค์กันเป็นประจำตั้งแต่อยู่มัธยม ไม่ว่าเนื่องในโอกาสไหน ๆ ก็แวะมาตลอด เช่น อกหัก สอบตก โดนสาวเท เยกะเทย เฮ้ยไม่ใช่! เอาเป็นว่าแวะมาตลอดละกัน
“เอาก๋วยเตี๋ยวน้ำใส” ผมพูดสั่งมันอย่างกวน ๆ พลางนั่งไขว้ห่างกระดิกขาดิ๊ก ๆ อย่างกับเสี่ย เสี่ยที่ไม่มีทั้งเงินแล้วก็สมองน่ะนะ
“พ่อง! นี่มันร้านเหล้านะไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยว” ไอ้บิวด่าผมกลับมา
“ก็รู้นี่หว่าว่าร้านเหล้า แล้วจะถามทำไมว่ากินไร มาร้านเหล้าก็ต้องแดกเหล้าสิวะ มึงนี่ก็แปลก” ผมเถียงมันกลับไป ที่พูดนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหรือผมกันแน่ที่แปลก
“มึงน่ะสิกวนตีนไอ้สัด!!” มันปาน้ำแข็งมาใส่ผม ถึงมันจะหน้าหวาน แต่สันดานมันนี่จังไรพอ ๆ กับพวกผมเลยนะครับ อย่าได้หลงเสน่ห์มันเชียว
“ฮ่า ๆๆๆ” พวกผมนั่งหัวเราะไอ้บิวกันดังลั่นอย่างมีความสุข แต่มันกลับแสดงสีหน้าตึง ๆ
“โหยไม่เอาสิจ๊ะที่รัก อย่างอนเลยน้าเค้าแค่แกล้งเล่นเฉย ๆ” ผมพูดแหย่มันเสียงหวานขณะใช้มือเกาคางมันไปด้วย
“ที่รักพ่อมึงสิ เลิกเกาคางกูด้วยกูไม่ใช่แมวน้ำ” ไอ้บิวพูดออกมาพลางปัดมือของผมออก
“แมวน้ำเหี้ยไรหมาต่างหาก” ไอ้ธีพูดว่าออกมาบ้าง นี่ถ้ามันไม่พูดออกมา ผมก็นึกว่ามันไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้นะเนี่ย นี่มันมานั่งแดกเหล้าหรือมานั่งวิปัสสนาก็ไม่รู้ ไม่พูดไม่จา
“เออไอ้สัดกูรู้ไม่ต้องย้ำ”
“มา ๆ แดกกันได้ละ เล่นกันอยู่ได้ไร้สาระอย่าให้กูรู้นะว่าใครแมร่งเป็นคนเริ่ม” ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วของเพื่อน ๆ มาชงเหล้าให้ เมื่อพนักงานเอามาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไอ้คิวเป็นคนสั่งมาตอนที่ผมกำลังแกล้งไอ้บิวอยู่
“มึงนั่นแหละ!!” เพื่อนทุกคนประสานเสียงกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง โดยมิได้นัดหมายยิ่งกว่าวันมาฆบูชา แต่ผมก็ด้อนแคร์
01:00 น.
พวกผมหมดเวลาหลายชั่วโมงไปกับสุรา และนารีแบบเพลิดเพลินเลยที่เดียวเชียว อย่างว่าเวลาแห่งความสุขมักจะหมดลงเร็ว จนตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านของพวกผมแล้ว ใจจริงก็อยากอยู่ต่อแต่ร้านปิดแล้วจะให้ทำไงล่ะครับ
“กลับบ้านนน~กันดี ๆ นะพวกมึงงงงง~” ผมบอกกับเพื่อน ๆ ด้วยเสียงยานคาง ขณะกำลังแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อน ๆ ก็โบกไม้โบกมือล่ำลากัน ผมเดินไปขึ้นคร่อมแมงกะไซด์ (มอเตอร์ไซค์) รุ่นMSXคู่ใจแล้วขับกลับบ้าน ซึ่งบ้านผมก็อยู่ในซอยถัดจากผับนี่ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก
บอกให้คนอื่นกลับบ้านกันดี ๆ แต่ตัวเองจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้
10 นาทีผ่านไป
ใช้เวลาไม่นานผมก็ขับรถมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านได้ผมก็ขับรถเข้ามาจอดในบ้านจากนั้นก็ดับเครื่องยนต์ ก่อนจะเดินไปปิดประตูหน้าบ้านแล้วเดินเข้าบ้านที่ปิดไฟมืดสนิทอย่างเซ ๆ
แอ๊ด~
ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะเดินคลำหาสวิทช์ไฟอย่างยากลำบาก แหมก็ผมพึ่งมาอยู่บ้านหลังนี้แค่อาทิตย์กว่า ๆเองนะครับ มันก็ต้องมีผิดพลาดทางเทคนิคกันบ้าง
”สวิทช์ไฟมันอยู่ไหนวะเนี่ย!” ผมบ่นออกมาอย่างหัวเสีย มือก็ปัดป่ายไปทั่วอย่างไม่รู้ทิศทาง
พรึบ!
อยู่ๆแสงไฟก็สว่างจ้าจนผมต้องหรี่ตาเพื่อปรับแสง สงสัยพ่อลงมากินน้ำล่ะมั้ง
“ดีนะที่พ่อลงมาไม่งั้นผมคงไม่ถึงห้องแน่ ๆ วันนี้” ผมหันไปพูดกับพ่อที่ยืนอยู่ตรงบันได ซึ่งภาพที่เห็นก็เลือนรางเต็มที เลือนรางแถมลายตาจนเห็นพ่อตัวเองแยกร่างได้
โอ้โฮ้! โคตรล้ำเลยว่ะ...
“ใครพ่อมึง” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาเรียบ ๆ
เฮ๊ยนี่ไปผ่ากล่องเสียงมารึไงทำไมเสียงหล่อจังวะ โอ้โฮ้! ล้ำไปอีก...
“นั่นมุขหรือเปลือกหอยพ่อออออ~ แหม ๆ ไม่ต้องงอนหรอกนะที่ผมไปกินเหล้าโดย
ไม่โทรบอกพ่ออออออ~น่ะ” ผมพูดพลางส่ายนิ้วชี้ไปมาขณะเดินไปหาพ่อตรงบันได ทำไมมันเอียงจังวะแผ่นดินไหวหรือไงเนี่ย หรือมียักษ์มาเดินอยู่แถวนี้
เดี๋ยวมึงก็เจอแจ็คผู้ฆ่ายักษ์หรอก
“นี่มึงลืมไปแล้วหรือไงว่าพ่อมึงไปเที่ยวเกาะเสม็ดกับแม่กูน่ะ”
“อะไรนะ พ่อใครไปเสร็จกับใคร” นอกจากตอนนี้สายตาไม่ดีแล้วหูของผมก็ยังไม่ดีไปด้วย
“มึงดูหน้ากูชัด ๆ สิวะ” พ่อผมคว้าต้นคอผมเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าตนเอง จนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน ถึงแม้ความสูงจะต่างกันมากแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่
