บทที่ 9 สิ่งที่อัดอั้น (2)
“ก็มันยังไม่ว่าง ว่างก็แต่โซนห้องพักคนงาน ที่ตรงนั้นมันมีแต่ผู้ชายฉันจะให้เธอไปอยู่ได้ยังไง ถ้าพ่อเธอรู้เข้าไม่เอาปืนมายิงหัวฉันถึงไร่เลยรึไง”
ถึงปลายฝนจะเป็นศัตรู แต่การฝากฝังจากปากของพ่อเลี้ยงรณก็ทำให้อัศวินตกปากรับคำอย่างหนักแน่นว่าเขาจะดูแลและให้เธอทำงานที่ไร่ หากพ่อของเธอรู้เข้าว่าเขาให้ลูกสาวสุดที่รักไปอยู่ที่ห้องพักคนงานที่มีแต่ชายฉกรรจ์นับร้อย มีหวังคนอย่างเขาหัวพรุนด้วยกระสุนเป็นแน่!
“พ่อฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเป็นคนให้ฉันมาที่นี่”
“ถ้าไม่ใช่พ่อเธอก็คงเป็นไอ้ขุนนั่นแหละที่ยิงหัวฉันแทน รายนั้นหวงน้องสาวจะตาย เธอเองก็รู้ดีนี่” อัศวินแค่นหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวข้างกายแอบเข้ามาในไร่ของเขาเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ พอลองขู่กับขุนเขาเข้าหน่อยก็รีบแจ้นพาพรรคพวกมานับสิบพร้อมด้วยกระบอกปืนติดตัวมาทุกคน แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าหวงก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้ว
“เดี๋ยวนี้ไม่หวงแล้ว ดูสิ น้องมาทำงานที่ไร่ศัตรูได้สิบวันยังไม่เห็นแม้แต่เงา นี่จะบอกให้นะ ฉันยังแอบหวังเลยว่าพี่ขุนจะมาพาตัวฉันกลับ อุตส่าห์ไม่ล็อกประตูห้องเวลานอน เป็นไงล่ะ เงียบกริบ!” ปลายฝนพูดปนเสียงขำที่แม้ว่าจะดูติดตลกแต่ก็ยังกระจ่างชัดถึงความเศร้าหมองที่มีต่อครอบครัว
หากคำว่าศัตรูจางหายไปสักนิดเขาคงปลอบประโลมเธอแล้ว แต่ความเคลือบแคลงใจมันยังคงอยู่ เขายังไม่มั่นใจว่าทำไมพ่อและพี่ชายของเธอถึงอยากให้เธอมาอยู่ที่ไร่ของเขานัก ถึงแม้ว่าตลอดสิบวันเธอยังคงทำงานได้ดีและไม่มีท่าทีแปลกไป แต่คนอย่างนายอัศย่อมไม่มีทางชะล่าใจปล่อยให้ศัตรูทำอะไรลับหลังได้อย่างแน่นอน
การพูดคุยเจรจาในทางธุรกิจจบสิ้นลงและได้ข้อยุติที่เห็นพ้องต้องกัน ปลายฝนทำงานเป็นผู้ช่วยของอัศวินได้เป็นอย่างดี เธอคอยจดเนื้อหาและรายละเอียดต่าง ๆ ได้ครบถ้วน รวมถึงเอกสารต่าง ๆ ที่จัดเตรียมมาให้โดยไม่มีอะไรติดขัดแต่อย่างใด
อัศวินและปลายฝนถูกพามาที่ห้องอาหารที่ทางลูกค้าได้จัดเลี้ยงเตรียมเอาไว้โดยเฉพาะ รวมถึงเครื่องดื่มมากมายที่วางเรียงรายเนื่องจากรู้ดีว่านายอัศผู้น่าเกรงขามชื่นชอบรสแอลกอฮอล์เข้ม ๆ จากต่างแดน
“คุณอัศวินต้องการเครื่องดื่มอะไรบอกพนักงานได้เลยครับ ผมแอบรู้มาว่าคุณชอบเหล้ายี่ห้อ นี่ผมก็เลยจัดเตรียมมาด้วย”
“ขอบคุณมากเลยครับ แต่วันนี้ผมต้องขอปฏิเสธเพราะว่าพาผู้ช่วยคนใหม่มาด้วย เห็นว่าจะไม่สะดวกเท่าไหร่น่ะครับ” เจตนาของเขาคือเห็นว่าปลายฝนอยู่ที่นี่ด้วยจึงไม่อยากสังสรรค์สักเท่าไหร่นัก เขายังต้องขับรถแถมยังไม่อยากให้ผู้หญิงอยากเธออยู่ในวงเหล้าเพราะมันไม่เหมาะไม่ควร
โดยปกติแล้วหลังจากพูดคุยกับลูกค้าเสร็จ การดื่มเลี้ยงสังสรรค์นับว่าเป็นเรื่องที่ทำอยู่ตลอด หากยิ่งมีศตวรรษมาด้วยอีกคนก็ยิ่งยาวกินเวลาไปจนดึก แต่ในวันนี้เขาตระหนักไว้ว่ายังมีหญิงสาวมาด้วยอีกคนคงจะนั่งดื่มพูดคุยได้ไม่นานมากนัก
“เอ่อ...ตามสบายเลยค่ะ ฉันโอเค” ปลายฝนส่ายหน้าเบา ๆ พลางโค้งศีรษะลงให้กับลูกค้าที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญเจ้านายของเธอ
ตัวเธอเองก็เป็นแค่ผู้ช่วยจะมีปากเสียงพูดอะไรได้มาก แล้วอีกอย่างการนั่งดื่มกับลูกค้าเธอก็มองว่ามันไม่ได้ทำให้ตัวเองเดือดร้อนอะไรนัก
“แล้วคุณปลายฝนดื่มเป็นหรือเปล่าครับ ถ้าไม่รังเกียจก็อยู่ดื่มด้วยกันเถอะนะครับ หลาย ๆ คนจะได้สนุก”
“ระดับนี้ดื่มเป็นอยู่แล้วค่ะ” เมื่อได้รับคำเชิญชวนก็ทำให้รอยยิ้มกว้างผุดขึ้น มันกว้างยิ่งกว่าการที่เธอได้ตามติดเจ้านายออกมาทำงานนอกสถานที่เสียอีก
อัศวินนึกหมั่นไส้กับหญิงสาวที่ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด จะออกปากดุก็เกรงใจลูกค้าที่เป็นคนเชิญเธอเอง แต่ถ้ากลับไร่เมื่อไหร่เขาคงต้องตักเตือนกันยกใหญ่
การดื่มสังสรรค์เริ่มต้นขึ้นแม้จะมีกันอยู่สามคน บทสนทนาหลัก ๆ ก็คงไม่พ้นเนื้อหาเรื่องงานและธุรกิจที่กำลังร่วมลงมือกันอยู่ในตอนนี้
ผู้หญิงคนเดียวอย่างปลายฝนย่อมไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายกับการพูดคุยที่ไม่ได้ข้องแวะเกี่ยวกับตัวเอง ทั้งยังไม่ต้องการให้ใครมาถามไถ่ยุ่มย่ามเลยยิ่งดี สู้นั่งดื่มคนเดียวลำพังจนหมดเวลาทำงานของเธอไปเสียยังดีกว่า
แก้วแล้วแก้วเล่าถูกกระดกดื่มหมดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จากความปกติก้ถูกแทนที่ด้วยฤทธิ์เหล้าเมื่อดื่มเข้าสู่ร่างกาย แก้มสองข้างแดงก่ำพาลไปถึงการกระทำที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแตกต่างจากผู้ช่วยคนเดิมไปโดยปริยาย
“อึก...” ปลายฝนฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะเมื่อไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้อีกต่อไป
