บทที่ 4 เปลวเพลิง (2)
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้บทสนทนาใดที่เอ่ยเอื้อนออกมา กระทั่งพ่อเลี้ยงผู้เป็นเจ้าของไร่และเป็นใหญ่ในไร่พันทิพย์แห่งนี้ ได้เปิดประโยคขึ้นเป็นคนแรกเพื่อพูดคุยและสะสางความเข้าใจใหม่ให้กับทุกคนเสียที
“เรื่องการแต่งงานผมลองคิด ๆ ดูแล้ว ผมว่าคงไม่...”
“ฮึ...พ่อเลี้ยงเห็นว่าผมว่างมากนักเหรอครับ!”
ผู้ทรงอิทธิพลกล่าวเพียงเท่านั้น แต่กลับสร้างความหวาดหวั่นจนแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
พ่อเลี้ยงรณผู้เป็นใหญ่ในไร่พันทิพย์แห่งนี้เป็นต้องสะอึกอยู่เช่นกันที่ถูกคนรุ่นน้องอายุน้อยนับสิบ ๆ ปีตวาดกร้าวเดือดดาลใส่
“เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะตกลงกันได้ง่าย ๆ นะคะ ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะที่ไม่สามารถแต่งงานได้ พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่กลับคำพูด แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องแต่งงานไม่เคยถูกพูดอย่างจริงจังเลยต่างหาก” ปลายฝนโพล่งขึ้นก่อนจะกดสายตามองผู้ทรงอิทธิพลอย่าหนักแน่น เช่นเดียวกับเหมราชที่เหยียดยิ้มให้เธอน้อย ๆ ราวกับแค่นยิ้มมองคนผยองที่กล้าปฏิเสธในตัวเขา
“ผมขอโทษจริง ๆ คุณเหม ตอนนั้นผมจนปัญญาไม่รู้จะหันไปทางไหน ผมเลย...”
“งั้นก็แปลว่าตอนนี้พ่อเลี้ยงหาทางออกที่ช่วยทำให้ไร่กระจอก ๆ นี่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วงั้นสิ”
“เฮ้ย! มันจะมากไปแล้วนะเว้ย!” ขุนเขาลุกขึ้นมองหน้าคนใหญ่คนโตอย่างเอาเรื่อง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ถูกมือหนาของผู้เป็นพ่อดึงรั้งเอาไว้
“ไอ้ขุน! หยุดเดี๋ยวนี้!”
“พ่อไม่ได้ยินเหรอว่ามันดูถูกไร่ของเรา!”
ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่โหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใด แต่ถ้าหากกล้ามาเหยียดหยามไร่พันทิพย์ที่ตัวเองรัก คนอย่างขุนเขาก็ไม่มีวันยอมเหมือนกัน
ไร่พันทิพย์เคยเป็นไร่รุ่งเรืองอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ ส่งออกพืชผักไปทั่วประเทศและรวมถึงต่างประเทศก็ไม่น้อยหน้า แต่ช่วงหลังมานี้การบริหารบวกกับสภาวะทางการเงินขัดข้องจึงทำให้การส่งออกเริ่มล่าช้า จนกลายเป็นว่าสถานะทางการเงินของไร่พันทิพย์กำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ
แต่ในฐานะลูกชายคนโตผู้ดูแลไร่และผู้สืบทอดย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ไร่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการบากหน้าไปเจรจากับคู่ค้าที่เคยบาดหมาง ควบคุมทุกการผลิตและการส่งออกจนแทบไม่เกิดความผิดพลาด แต่ทางเดียวที่เขาจะไม่มีวันยอมก็คือการให้น้องสาวของเขาต้องแต่งงานกับคนอย่างท่านเหมที่ขึ้นชื่อว่าโหดและเลวอย่างแน่นอน!
“อย่ากร่างให้มากไอ้หนุ่ม ถ้าไม่กลัวว่าจะเหลือแต่ชื่อ!”
คำเตือนของเหมราชไม่ได้ทำให้ขุนเขาหวั่นเกรงแต่อย่างใด ผิดกับพ่อเลี้ยงรณและปลายฝนที่พยายามดึงรั้งเขาเอาไว้เพราะรู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่เพียงการข่มขู่
“ขอโทษท่านเหมซะไอ้ขุน! เร็วสิวะ!” รณภพออกปากสั่งและบีบต้นแขนของลูกชายให้ยอมโอนอ่อนเพื่อรักษาชีวิต
การถูกเตือนจากปากของเหมราชเพียงหนึ่งคำ สามารถเทียบเท่าได้กับการมีกระสุนเจาะที่ตัวมาแล้วหนึ่งนัด และถ้าหากขุนเขายังคงอวดดีมีหวังคงได้ถูกลอบทำร้ายโดยที่หาคนทำผิดมารับโทษตามกฎหมายไม่ได้เป็นแน่
“พ่อ! ผมไม่...!”
“ฉันบอกให้ขอโทษ!”
คำสั่งของผู้เป็นพ่อย่อมประกาศิตเด็ดขาด
ขุนเขายกมือไหว้ให้กับคนตรงหน้ายอมจำใจ ปากที่จะเอ่ยเอื้อนคำขอโทษมันก็หนักเกินกว่าที่เขาจะเปล่งมันออกมาได้
“ขอโทษ!”
“ฮึ! ฉันไม่ถือสาหรอกนะ แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกล่ะก็...มึงศพไม่สวยแน่!”
“อึก...” ปลายฝนถึงกับสั่นระริกรีบกอดแขนผู้เป็นพี่ชายเอาไว้ในทันที เธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่คำขู่ คนอย่างท่านเหมทำได้ทุกอย่างที่ต้องการจริง ๆ เรื่องศีลธรรมและความผิดถูกมันไม่ได้อยู่ในหัวสมองหรือสามัญสำนึกของเขาเลยสักนิด
“ในเมื่อผมได้คำตอบแล้วผมก็ยอมรับครับพ่อเลี้ยง...” ร่างสูงใหญ่เหยียดกายขึ้นก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวเพียงคนเดียว
มือใหญ่สัมผัสเบา ๆ ที่แก้มใสแดงระเรื่อ เกลี่ยไล้ไปมาก่อนจะหยุดที่คางมนของปลายฝนและจดจ้องมองด้วยความเรียบนิ่ง
หญิงสาวยืนตัวเกร็งแข็ง ลมหายใจหยุดชั่วขณะแต่สายตาก็กลับจ้องมองไปยังคนตรงหน้าอย่างใจกล้า ที่ถึงแม้ภายในใจจะสั่นสะท้านหวาดหวั่นมากเพียงใด
“น่าเสียดายจังที่จะไม่ได้หนูปลายฝนมาเป็นเมีย แต่ก็ไม่เป็นไร...ผมเคารพการตัดสินใจของพ่อเลี้ยงครับ ขอให้ไร่ห่วย ๆ ของพ่อเลี้ยงอยู่รอดอย่างที่หวังก็แล้วกัน!”
สิ้นประโยคมือหนาก็ผละออกจากใบหน้าหวานก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะหมุนตัวและเดินออกไป พร้อมด้วยเหล่าลูกน้องของเขาที่ยืนรออยู่ด้านนอก
เสียงลมหายใจดังยาวพรืดบ่งบอกถึงความเป็นกังวลใจแม้ไม่มีคำใดเอ่ยออกมา ปลายฝนเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อเอาไว้ รับรู้ดีว่าพ่อของตนกำลังคิดสิ่งใด
การกอบกู้ไร่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถทำได้เพียงข้ามคืน แต่เธอก็เชื่อมั่นว่าอีกไม่นานไร่ของเธอจะกลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมอย่างแน่นอน
