บทที่ 12 สร้างแต่เรื่อง (2)
“ขอบคุณคุณน้ามากเลยนะคะ หนูไม่คิดเลยว่าคุณน้าจะใจดีกับหนูแบบนี้”
เธอขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวของไร่คู่แข่ง เป็นน้องสาวศัตรูของอัศวินซึ่งเป็นลูกชายของรินลดา แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากครอบครัวของเจ้านายเธอแบบนี้
“หนูคงไม่รู้สินะ ว่าน้าน่ะเคยเจอแบบหนูมาก่อนนะ กว่าจะมาเป็นเมียพ่อเลี้ยงอิฐได้...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” รินลดายิ้มบาง ๆ พลางหันไปมองสามีที่ตอนนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พานทำให้นึกถึงอดีตวันวานของสองคน
ความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้ปลายฝนยิ้มออกแม้ว่าจะเจอเรื่องหนักหนานั่นก็คือการได้อยู่พูดคุยกับรินลดาและพ่อเลี้ยงอิฐที่บ้านหลังงาม ซ้ำยังมีเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งเป็นหลานของทั้งสองที่มักจะแวะเวียนมาหาคุณตาคุณยายเกือบทุกเย็น กลายเป็นสีสันของบ้านนี้ไปเสียแล้ว
อธิบดินทร์มีลูกสามคน คนโตชื่ออิงดาวเป็นลูกของอธิบดินทร์และภรรยาคนแรกที่เสียชีวิตด้วยโรคร้าย และคนที่สองและสามก็คือลูกของอธิบดินทร์และรินลดา ซึ่งก็คือ อัศวินและอิงเอมตามลำดับ
ลูกคนโตอย่างอิงดาวแต่งงานมีลูกน้อยที่น่ารัก ส่วนลูกคนเล็กอย่างอิงเอมก็กำลังจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาหายห่วง เหลือก็แต่ลูกคนกลางอย่างอัศวินที่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ยังคงกังวล ถึงแม้ว่าลูกชายคนนี้จะแข็งแกร่งและทำงานเก่ง แต่ในเรื่องความรักช่างอ่อนเปลี้ยที่สุดในบรรดา
“น้าฝนขา อุ้มหน่อยค่ะ อุ้มน้องเดือนหน่อย” เด็กน้อยวัยหกขวบออดอ้อนขอให้น้าสาวที่เพิ่งเคยพบหน้าโอบอุ้ม ถึงแม้ว่าจะเป็นการพบกันเพียงไม่กี่นาที แต่เด็กน้อยกลับรู้สึกรักและสนิทสนมกับหญิงสาวเสียจนติดแจ
“ไม่ได้ค่ะลูก น้าฝนเจ็บอยู่นะ ไม่เอาค่ะ” อิงดาวเดินเข้ามาห้ามลูกน้อยที่เอาแต่ส่งสายตาหวาน หล่อนรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วและเห็นใจอยู่ไม่น้อยที่ผู้ช่วยน้องชายต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้
“น้องเดือนดูท่าจะชอบน้าฝนนะเนี่ย อ้อนใหญ่เลย” รินลดาที่ตอนนี้มีศักดิ์เป็นคุณยายยิ้มกว้างมากกว่าเดิม แปลกใจที่หลานตัวเองชื่นชอบน้าสาวอย่างปลายฝนทั้งที่เพิ่งเจอหน้า แต่ก็รู้สึกเอ็นดูไม่น้อยที่หลานรักและหญิงสาวของไร่ข้าง ๆ ที่ตัวเองถูกชะตานั้นเข้ากันได้อย่างกลมเกลียว
“นี่ก็เย็นมากแล้ว หนูว่าหนูกลับก่อนดีกว่าค่ะ” เหมือนจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่กับครอบครัวของเจ้านายนานเกินไปแล้ว หลังจากเกิดเรื่องเธอก็ไม่ได้แตะต้องภาระงานของตัวเองเลยสักนิด
นี่ยังโชคดีที่เจ้านายตัวจริงไม่ตามมาเอาเรื่องเพราะเห็นว่าออกไปคุยงานกับผู้ช่วยอย่างศตวรรษ ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนบ่นหูชาแน่นอน
แต่แล้วความคิดของปลายฝนกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสียได้ เจ้านายตัวจริงของเธอเยื้องย่างเข้ามาในบ้านของพ่อและแม่ด้วยแววตาเคร่งขรึม พลันเมื่อรับรู้ข่าวการทะเลาะวิวาทในไร่จึงรีบตามมาหาเหตุผลด้วยรังสีถมึงทึงในทันที
“แม่ทำเกินไปหรือเปล่า ทำไมถึงกับต้องไล่ออกด้วยครับ มัดทำงานกับไร่เรามานาน จะหาคนที่ทำงานเก่งไว้ใจได้อีกที่ไหนครับ” อัศวินก้าวอาด ๆ เข้ามาในบ้านพร้อมกับศตวรรษ ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เพียงเสียงเข้มกังวาน บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นความอึมครึมโดยปริยาย
“เอ่อ...สวัสดีครับน้าคะนิ้ง พ่อเลี้ยง” ศตวรรษส่งยิ้มแหย ๆ ก่อนจะรีบเดินค้อมศีรษะเข้าไปหาฝ่ายผู้ใหญ่แทนการยืนอยู่ข้างกายของคนรุ่นพี่ที่ตอนนี้กำลังเลือดร้อน
“รู้เรื่องแล้วสินะ แม่ไม่ได้ทำเกินไปนะตาอัศ นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ แม่นั่นทำร้ายผู้ช่วยของลูกนะตาอัศ แม่ก็ต้อง...”
“ถ้าแม่จะไล่ออกจริง ๆ แม่ก็ควรไล่ยายนี่ออกไปด้วย เพราะเธอเป็นคนเริ่มตบมัดก่อน! แม่ควรจะไล่ทั้งสองคนออกไม่ใช่ลำเอียงไล่แค่มัด!” อัศวินเดินเข้ามาจับที่ข้อมือเล็กของปลายฝนเอาไว้ก่อนจะออกแรงบีบคั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับเธออย่างถึงที่สุด
อิงดาวเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงพาตัวลูกสาวออกไปด้านนอก เนื่องจากไม่อยากให้ลูกต้องมาเห็นบรรยากาศอึมครึมและการกระทำโหดห่ามของอัศวินที่เป็นน้าหนุ่มใจดีเสมอในสายตาเด็กน้อย
“แต่ที่หนูปลายฝนทำไปก็เพราะปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองนะตาอัศ! แม่มัดนั่นน่ะพูดจาเหยียดหยามหนูปลายฝนก่อน” รินลดายังคงขึ้นเสียงเมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ยอมฟังเหตุผลอะไร
“แล้วถ้าสถานการณ์มันกลับกันล่ะครับแม่ ถ้าคนที่ตบก่อนเป็นมัด แม่เองก็คงไล่มัดออกอยู่ดีและหาว่าเธอทำร้ายยายนี่ก่อน!”
“ไอ้อัศ พอได้แล้ว!” เสียงเข้มทรงพลังจากประมุขของบ้านทำให้อัศวินสงบปากลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังตามมา
