บทที่ 11 แม่เลี้ยงรินลดา (2)
เพียะ!
ใบหน้าหวานหันไปอีกทางจากแรงตบอันเจ็บแสบ ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อคนที่กำลังยืนมุงดูอยู่ใกล้ ๆ ต่างก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาแยกตัวสองฝั่งให้ออกจากกัน
แต่ทว่า...
“มึงกล้ามากนะที่ตบกู ต้องเจอนี่!” เสียงอาฆาตแค้นดังกึกก้องก่อนที่จะยกน้ำซุปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารมาสาดเทใส่ปลายฝน
ผู้คนที่ต่างกรูเข้ามาช่วยห้ามตอนนี้ก็แตกกระเจิงไปคนละทิศทาง น้ำซุปกระดูกร้อน ๆ เดือดปุดราดสุมสู่ร่างกายเล็กแทบจะทุกพื้นที่ ความเจ็บแสบโลดแล่นส่งผลให้เสียงกรีดร้องน่าสงสารดังขึ้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลหลั่ง
“อึก...” ร่างแบบบางทรุดลงกับพื้นพลางกอดร่างกายของตัวเองที่แสบร้อนพุพองเกินกว่าจะทนไหว
“สมน้ำหน้า! นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ กูไม่ราดหัวมึงมันก็บุญเท่าไหร่แล้วอีลูกศัตรู!”
เสียงหัวเราะสะใจดังขึ้นเมื่อเห็นสภาพของปลายฝนที่ทิ้งตัวลงสู่พื้นด้วยความเจ็บปวด
“มันจะมากไปแล้วนะพวกมึง! กูจะฟ้องนายว่าพวกมึงทำร้ายคุณปลายฝน!” ป้าหน่อยรีบตรงปรี่เข้ามาประคองร่างแน่งน้อยเข้าสู่อ้อมกอด ความโกรธเกรี้ยวทำให้การพูดคำเมืองเปลี่ยนเป็นภาษากลางได้โดยอัตโนมัติ “ลุกไหวก่อเจ้า โธ่...คุณปลายฝนของป้า”
“ฮึก ไหวค่ะ...” ปลายฝนพยักหน้ารับบาง ๆ ก่อนจะทรงตัวและหยัดกายขึ้นทั้งที่กำลังอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
การทะเลาะวิวาทถูกรายงานไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งบุคคลที่เข้ามาในที่เกิดเหตุก่อนใครก็กำลังมาย่างกรายเข้ามากระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างปลายฝนและผู้ล้มน้ำซุกหม้อใหญ่ สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนอื่น ๆ ที่อยู่จุดนั้นจนขนลุกเกรียวหวาดหวั่นในทันที
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้!” เสียงทรงอิทธิพลที่ตวาดถามทำเอาบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทา กลับกลายเป็นความเงียบสงัดปกคลุมไปด้วยความเย็นยะเยือกเพียงแค่เปล่งเสียงออกมา
“มะ...แม่เลี้ยง!”
หญิงวัยกลางคนหันขวับไปมองยังบุคคลที่เอ่ยเสียงสั่นเทาด้วยสายตาแข็งกร้าว ความอ่อนโยนที่เคยเห็นประจักษ์มาตลอดการทำงานหลายปีหายลับไปและถูกแทนที่ด้วยความน่ากลัว ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของไร่!
รินลดามาที่โรงอาหารเนื่องจากได้รับรายงานว่ากำลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทจนชุลมุน เธอที่กำลังตรวจดูเอกสารอยู่ที่ออฟฟิศจึงรีบมาที่นี่เพื่อถามหาเหตุผลที่แน่ชัด และก็ทันเห็นภาพที่ปลายฝนถูกสาดน้ำร้อนใส่อย่างเต็มตา
“เมียป้อเลี้ยงถ่อมาตึงนี่ กูว่าเฮื่องใหญ่แน่มึง! (เมียป้อเลี้ยงถ่อมาถึงที่นี่ กูว่าเรื่องใหญ่แน่มึง!)”
“เออ กูว่ายายปลายฝนกับยายมัดถูกไล่ออกแน่มึง ก่อเรื่องขนาดนี้ไม่รอดแน่”
“กูไม่เคยเห็นคุณคะนิ้งทำหน้าโหดแบบนี้มาก่อนเลย แม่ง...ชะตาขาดแน่เลยมึงว่าไหมวะ”
เสียงพูดคุยดังขึ้นเมื่อไม่เคยเห็นภรรยาของพ่อเลี้ยงอิฐโกรธใครมาก่อน ใครต่อใครก็ต่างรู้ว่ารินลดาใจดีมีเมตตาอยู่เสมอ รอยยิ้มของเธอมักจะสร้างความรักความอบอุ่นทำให้คนในไร่ต่างก็เคารพนับถือเธอไม่ต่างจากพ่อเลี้ยงอิฐเลยสักนิด
“หนูขอโทษค่ะ” ปลายฝนโพล่งขึ้นเมื่อไม่มีใครตอบคำถาม “หนูเป็นคนเริ่มเอง”
“จริงหรือเปล่า ปลายฝนเป็นคนเริ่มเหรอ” รินลดาหันไปถามกับคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้ต่างก็ก้มหน้างุดหลบเลี่ยงสายตาคมของเธอ
“หนูปลายฝนเป็นคนเริ่มก็จริงค่ะแม่เลี้ยง แต่นังพวกนี้มันด่าทอว่าร้ายหนูปลายฝนก่อน แถมยังว่าถึงครอบครัวหนูปลายฝนด้วยนะคะแม่เลี้ยง” เป็นเสียงของป้าหน่อยที่พูดแทรกขึ้นขณะที่วงแขนก็โอบกอดร่างเล็กเอาไว้เพื่อปลอบประโลม
“ไม่จริงค่ะ! ฉันก็แค่พูดว่ามันไม่สมควรมาทำงานที่ไร่นี้ก็เท่านั้น แล้วมันก็เข้ามาตบฉันเลยค่ะแม่เลี้ยง”
“แล้วทำไมปลายฝนถึงไม่สมควรที่จะมาทำงานที่ไร่กมล!” รินลดาถามกลับด้วยน้ำเสียงแข็งจัดอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงรีบก้มหน้างุด “ตอบ! ทำไมปลายฝนถึงไม่สมควร อย่าเงียบ! ฉันไม่ชอบ!”
“อึก...ก็เพราะว่าปลายฝนเป็นลูกของพ่อเลี้ยงรณเจ้าของไร่พันทิพย์ ไร่นั้นเป็นศัตรูกับเราไม่ใช่เหรอคะ การที่ลูกสาวของไร่ศัตรูมาทำงานที่นี่ฉันว่า...”
“คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครสมควรทำงานที่ไร่นี้ไม่ใช่พวกเธอ! ปลายฝนมาทำงานที่ไร่นี้ด้วยความเต็มใจของฉันและลูกฉัน!”
“แต่ว่า...!”
“เก็บข้าวของออกไปซะ ฉันไล่เธอออก!”
คำสั่งเด็ดขาดจากปากรินลดาสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก เธอไล่พนักงานออกด้วยวาจากังวาน ตบท้ายด้วยสายตาเฉียบคมที่สามารถเชือดเฉือนให้แดดิ้นได้อย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นเธอในมุมแบบนี้
