ตอนที่3 เปลี่ยน
ตอนที่3 เปลี่ยน
พายุพัดพารอยยิ้มมากับสายฝน
หลังจากวางสายแพรไหมก็เดินขึ้นห้องเรียนเพราะม้านั่งด้านล่างอาคารเรียนเต็มไปด้วยนักเรียนที่มานั่งจับกลุ่มคุยกันระหว่างรอเข้าเรียนคาบแรก
ห้องเรียน
“ยัยแพรวันนี้ใครมาส่งคะ นั่งรถหรูมาเรียนเลยนะเพื่อนวันนี้” ฟางหนึ่งในเพื่อนสนิทถามขึ้นทันทีที่แพรไหมหย่อนสะโพกลงนั่งตรงม้านั่งระเบียงหน้าห้อง
“ลุง” แพรไหมตอบเสียงสั้น
“แกมีลุงรวยขนาดนี้เลยเหรอ แล้วนี่เอาเสื้อใครมาใส่..เอ๊ะ! ตราโรงเรียนลูกคนรวยซะด้วย ไม่ธรรมดานะเพื่อนฉัน” ฟางอุทานออกไปเสียงดังเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ที่ปักอยู่บนอกเสื้อตัวที่แพรไหมสวมใส่อยู่
“เสื้อพี่ เขาให้ยืมใส่นั่งรถมาเมื่อเช้ามันหนาว” แพรไหมบอกออกไปตามความจริง
“แจ็กเกตโรงเรียนตัวเองก็มีไม่ใส่ เดี๋ยวคนอื่นเห็นเขาก็หมั่นไส้อีก” เปิ้ลหนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดขึ้นเพราะตั้งแต่ที่แพรไหมเดินมานั่งตรงนี้ก็มีสายตาหลายคู่มองมาที่กลุ่มตน และเชื่อว่าระหว่างทางเดินขึ้นมาก็ต้องมีคนมองอยู่ตลอดทาง
“แค่ใส่เสื้อของโรงเรียนอื่นก็ต้องหมั่นไส้ด้วยเหรอ ไร้สาระฉิบหาย” แพรไหมพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องเรียนไปนั่งลงที่นั่งประจำที่อยู่แถวหน้าตำแหน่งกึ่งกลางห้อง เป็นตำแหน่งที่มองเห็นกระดานชัดเจนที่สุด
“นิสัยไม่แคร์โลก..เหมือนเดิม” เปิ้ลพูดขึ้นก่อนจะลุกเดินตามเข้าห้องไปนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ ซ้ายขวาโดยมีแพรไหมนั่งอยู่ตรงกลาง
“เปลี่ยนที่นั่งบ้างก็ได้นะ คาบแรกสมองฉันยังไม่พร้อมเรียน เปลี่ยนไปนั่งข้างหลังดีกว่าไหม” ฟางพูดขึ้นขณะที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“ก็ว่างนี่ ยังไม่มีคนนั่ง” แพรไหมหันหลังไปมองที่นั่งด้านหลังห้องก็พบว่าเก้าอี้ยังว่างอยู่หลายตัว ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฟางสีหน้าเรียบนิ่ง
“ยัยแพร แคร์เพื่อนบ้างก็ได้” ใบหน้าง้ำงอของฟางกับเรื่องก่อนหน้าที่งอนแพรไหมไม่หาย วันนี้ถึงขั้นมองบนให้กับความโนสนโนแคร์ของเพื่อน
“ตรงไหนที่บอกไม่แคร์ อยากไปนั่งที่อื่นก็ไปได้เลยฉันไม่ได้บังคับ” แพรไหมบอกกับเพื่อนน้ำเสียงปกติไม่ได้มีทีท่าจะประชดแต่อย่างใด
“ไม่บังคับเท่ากับนั่งที่เดิม ขอทำใจแป๊บเหลือเวลาอีก 15 นาที” ฟางบอกออกไปอย่างคนปลงตกและทำใจได้ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อเรียกสมาธิที่เดินทางมาจากบ้านยังไม่ถึง
ตอนเที่ยง
หลังจากที่เรียนวิชาหลักต่อกัน 2 รายวิชา 4 ชั่วโมงตอนเช้าเสร็จสมองที่ถูกใช้งานอย่างหนักก็ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานและน้ำหวานมาทดแทนพลังงานที่ถูกใช้ไปเกือบหมด
“ฟาง เปิ้ลพวกแกไปซื้อข้าวนะฉันเอาเหมือนเดิม เดี๋ยวฉันไปซื้อน้ำเอง สมองต้องการหลั่งสารเอนดอร์ฟินและเซโรโทนิน มันใช้งานหนักมา 4 ชั่วโมงแล้ว” แพรหันไปบอกกับเพื่อนก่อนที่ตัวเองจะเดินไปยังร้านขายเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ริมสุด ก่อนจะถึงก็มีร้านขายผลไม้เลยไปซื้อแอปเปิลติดมือมาด้วย
“อะของแก..เหมือนเดิม” ฟางวางจานข้าวไปตรงหน้าแพรไหม ทุกคนไม่รอช้ารีบจัดการข้าวตรงหน้าอย่างตั้งใจ
“แพรเมื่อกี้ก่อนที่จะไปซื้อข้าวแกพูดถึงสารอะไร” ฟางถามขึ้นขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหลังจากทานข้าวเสร็จ
“สารเอนดอร์ฟินและเซโรโทนิน”
“มันคือสารอะไรนะ”
“สังเกตไหมเวลาเครียดเรามักอยากกินของหวาน เพราะรสหวานที่ลิ้นช่วยกระตุ้นให้หลั่งสารเคมีในสมอง คือ เอนดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งจะช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้นและทำให้อารมณ์สงบไม่รุ่มร้อน” แพรไหมอธิบายถึงที่มาของสารสองอย่างนั้นให้เพื่อนฟัง เพราะเธอจะชอบอ่านหนังสือเกร็ดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์จนจำได้หมดว่าขณะที่ร่างกายคนเราอยู่ในภาวะต่าง ๆ สมองและร่างกายจะหลั่งสารอะไรออกมาเพื่อเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันให้ผ่อนคลายมากขึ้นหากวันไหนที่เรียนหนักและเคร่งเครียด
“แกเอาความรู้พวกนี้มาจากไหน ฉันเห็นแกชอบพูดถึงชื่อสารอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อยเลย”
“ฉันชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ทั่วไปน่ะ”
ครืด ครืด ครืด
โทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของเด็กสาวสั่นและเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มือเล็กหยิบมือถือขึ้นมาดูก็พบว่าคนที่โทรเข้ามานั้นคือติวเตอร์หนุ่มรุ่นพี่คนที่ให้เบอร์เธอมาเมื่อเช้า
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ น้องแพรทานข้าวกลางวันหรือยังครับ” เสียงทุ้มอบอุ่นถามดังมาตามสาย
“ทานแล้วค่ะ แล้วพี่เซิร์ฟล่ะคะทานหรือยัง” แพรไหมถามกลับตามมารยาทเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับชายหนุ่มดี
“กำลังทานครับ อาจารย์พึ่งปล่อยคลาส”
“ปล่อยช้าขนาดนั้น ไม่หิวข้าวแย่เลยเหรอคะ” เด็กสาวถามกลับไปตามสัญชาตญาณถ้าให้เดาตอนนี้คงเลยเวลาพักเที่ยงมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว อีกฝ่ายได้ยินการถามไถ่แสดงความเป็นห่วงรู้สึกพอใจถึงกับเผลอยิ้มออกมา
“อาหารอร่อยกว่าทุกวัน หรืออาจารย์สอนจนมึงเป็นบ้าถึงได้นั่งยิ้มให้โทรศัพท์..ไอ้เซิร์ฟ” เสียงเพื่อนดังแทรกเข้ามาในสายจนแพรไหมที่ตั้งใจฟังอีกฝ่ายได้ยินชัดเจน
“เย็นนี้พี่อาจเลิกเร็วเดี๋ยวพี่ไปรับนะ ไปถึงแพรน่าจะเลิกเรียนพอดีรอพี่ตรงหน้าโรงเรียนนะครับ” ชายหนุ่มพูดเองเออเองนัดหมายคนเดียวเสร็จสรรพ ทั้งสองคุยกันประมาณ 5 นาทีก็วางสาย
“พี่ชายแน่นะยัยแพร เช้ามาส่ง กลางวันโทรหา เย็นมารับกลับบ้าน พี่แบบนี้มีอีกไหมฉันอยากมีเป็นของตัวเองบ้าง” ฟางพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังเพื่อนคุยโทรศัพท์มาสักพัก
“ตลาดคลองถมน่าจะมีขายนะ เย็นนี้ก็แวะดูสิ” แพรพูดจบก็ลุกจากม้านั่งสะพายกระเป๋าเดินออกไปทันทีโดยไม่ลืมหยิบถุงแอปเปิลของโปรดติดมือมาด้วย
“แรง..ไล่ฉันไปหาซื้อผู้ชายแถวตลาดนัดคลองถม”
“อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้มันด่า” เปิ้ลว่าฟางออกไปก่อนจะรีบเดินตามหลังแพรไหมออกไป
ทางด้านเซิร์ฟ
“สาวที่ไหนวะเซิร์ฟ เสียงน่ารักเชียว” นาวินหนึ่งในกลุ่มเพื่อนถามขึ้นด้วยความแปลกใจเพราะปกติไม่เคยเห็นเซิร์ฟคุยกับสาวที่ไหนทั้งในและนอกโรงเรียน
“น้องสาว ลูกเพื่อนพ่อกู”
“น้องไม่สนิทคิดไม่ซื่อนี่หว่า อายุเท่าไหร่วะ เด็กกว่าเราอีกเหรอ” แซมถามด้วยความอยากรู้เพราะด้วยช่วงวัยนี้การมีแฟนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และวัยรุ่นทุกคนอยากมี
“น้องเขายังเด็ก เขายังไม่คิดเรื่องนี้หรอก” เซิร์ฟตอบปัดเพื่อนไป
“อายุเท่าไหร่แล้ววะ/เออน้องเขาอายุเท่าไหร่แล้ววะฟังจากเสียงเหมือนจะเด็กอยู่เลยนะ” กลุ่มเพื่อนยังคะยั้นคะยอเพื่อเอาคำตอบ
“14 ปี” เซิร์ฟตอบกลับเสียงสั้นปัดรำคาญความอยากรู้ของเพื่อน แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อได้ฟังคำตอบที่สร้างความประหลาดใจ
“โอ้มายก๊อดไอ้เซิร์ฟ น้องมันยังไม่ 15 เลยนี่มึงจะพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 เลยเหรอวะโทษแรงสุดเลยนะเว้ย” หนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องสนุก
“พรากห่าอะไรล่ะ ตอนนี้คิดแค่น้องเว้ย”
“ตอนนี้คิดแค่น้อง อนาคตมากกว่าน้อง ต่อไปก็คงจะมากกว่าน้องน้องใช่ไหมวะ” เซิร์ฟยังโดนล้อไม่เลิกเพราะนาน ๆ ทีจะมีเรื่องผู้หญิงมาให้คุยสนุกปากแบบนี้
“เป็นเรื่องของอนาคต” ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววความสุขจนเก็บไม่มิด
“อนาคตมึงมันโชว์เด่นอยู่บนหน้ามึงแล้วไอ้เซิร์ฟ หลงรักเด็กน้อยเข้าให้แล้ว”
“ก็น้องมันน่ารักนี่หว่า ถ้ามึงเจอน้องเขามึงเองก็คงไม่ต่างอะไรจากกูหรอก”
“งั้นวันหยุดก็ชวนน้องเขามาเที่ยวขอนแก่นบ้างสิ พวกกูก็อยากเจอน้องสาวมึงบ้างว่าจะน่ารักเหมือนที่มึงพูดหรือเปล่า”
“คนนี้กูหวงนะ” เซิร์ฟรีบพูดดักคอเพื่อน ๆ ไว้พร้อมส่งสายตาจริงจังไปให้เพื่อนทั้งสาม
“เออ..ไม่ต้องขู่พวกกูขนาดนั้น พวกกูรู้แล้วว่ามึงหวงมาก”
หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงเสร็จชายหนุ่มทั้งสี่คนก็เข้าห้องเรียนเพื่อเรียนคลาสต่อไปในช่วงบ่าย
ตอนเย็น
“เซิร์ฟไปเดินห้างกันไหม ชั่วโมงสุดท้ายอาจารย์ยกคลาสนี่” แซมเอ่ยชวนขณะที่เซิร์ฟกำลังรีบเก็บของ ยัดใส่กระเป๋า
“ไม่..วันนี้กูรีบกลับบ้าน” พูดจบก็คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายหันหลังเดินออกจากห้องไปทันที
“รีบกลับ มึงจะรีบกลับไปไหนนี่มันพึ่งจะกี่โมงเอง” แซมตะโกนตามหลังชายหนุ่มที่กำลังก้าวเท้าพ้นขอบประตู
“โรงเรียนแพรเลิกบ่ายสามโมงครึ่งกูจะรีบไปรับแพร” เสียงทุ้มตะโกนดังตอบกลับมาเสียงดัง เท้ายาววิ่งลงจากห้องเรียนชั้นสามไปยังด้านหน้าโรงเรียนที่รถผู้เป็นพ่อจอดรออยู่
เซิร์ฟโทรบอกพ่อมารับเร็วกว่าทุกวันเพราะวันนี้ชั่วโมงสุดท้ายอาจารย์ติดธุระเลยยกคลาส
“วันนี้ทำไมกลับบ้านเร็ว ไม่ไปเดินเที่ยวกับเพื่อนก่อนตอนเย็นค่อยโทรบอกพ่อมารับก็ได้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ครับ วันนี้ผมจะรีบไปรับน้องแพรด้วย พ่อรีบออกรถเถอะครับเดี๋ยวรถติดแล้วไปรับน้องไม่ทัน” เซิร์ฟเร่งผู้เป็นพ่อทันทีที่ขึ้นนั่งบนรถ
“เป็นเอามากนะแก ระวังน้องมันจะอึดอัดเอานะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยเตือนในฐานะผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน
“ยังไม่ได้จะทำอะไรเลยพ่อแค่ไปรับน้องเฉย ๆ ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว และอีกอย่างผมก็นัดกับน้องไว้แล้วว่าวันนี้จะช่วยสอนการบ้านให้” ชายหนุ่มบอกเหตุผลผู้เป็นพ่อออกไป แต่ก็เข้าใจสิ่งที่พ่อเตือนและพยายามรักษาระยะห่างให้พอเหมาะพอดี
“หาข้ออ้างเก่ง สมแล้วที่พ่อเสียเงินส่งแกเรียนโรงเรียนดี ๆ อย่างน้อยแกก็ได้เปรียบเรื่องภาษาที่พอจะเอามาเป็นข้ออ้างในการสอนน้องได้”
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ คุณวสิน” เซิร์ฟหันไปพูดกับพ่อไม่จริงจังนัก สองพ่อลูกช่วยกันวางแผนมาตลอดทางจนรถยนต์คันหรูขับมาจอดหน้าโรงเรียนมัธยมประจำตำบลที่เขามาส่งเด็กสาวเมื่อเช้า
“น้องแพรครับ ทางนี้ครับ” ชายหนุ่มในชุดนักเรียนสีขาวผูกเนกไทสีเขียวเป็นชุดฟอร์มของโรงเรียนเอกชนชื่อดังในจังหวัดขอนแก่นตะโกนพร้อมยกมือเรียกเด็กสาวขณะที่กำลังเดินมากับกลุ่มเพื่อน
"นี่เหรอพี่ชายแก หล่อไม่ไหวงานดีมาก” ฟางชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยืนเด่นอยู่ด้านหน้าโรงเรียน
“น้อย ๆ หน่อยยัยฟางอย่าไปชี้หน้าพี่เขาแบบนั้น งั้นฉันกลับก่อนนะแล้วเจอกันพรุ่งนี้” แพรหันไปเอ็ดเพื่อนก่อนจะรีบสาวเท้าเดินแยกออกมาจากหกลุ่มเพื่อนเดินตรงไปหาชายหนุ่มที่ตอนนี้ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่หนุ่มหล่อแปลกหน้ายืนเด่นอยู่ข้างรถหรู
“พี่เซิร์ฟสวัสดีค่ะ”
“ครับ พี่ช่วยถือกระเป๋าครับ” มือหนายื่นไปตรงหน้าเด็กสาวเพื่อรับกระเป๋าสะพายที่เด็กสาวสะพายอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้หนักมาก” แพรไหมปฏิเสธอย่างสุภาพเพราะเกรงใจก่อนจะก้าวขึ้นรถที่ชายหนุ่มเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณลุงสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะหนูแพร วันนี้เรียนเป็นไงบ้างเหนื่อยไหมลูก” วสินเอ่ยถามเด็กสาวออกไปด้วยความเอ็นดู
“นิดหน่อยค่ะ วันนี้มีแต่วิชาหลักก็เลยเหนื่อยหน่อย”
“ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ให้พี่เซิร์ฟเขาช่วยติวให้ก็ได้นะลูก” วสินเริ่มแผนการที่วางไว้กับลูกชายระหว่างที่ขับรถมารับเด็กสาว
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“น้ำครับ แล้วก็ขนมทานรองท้องไปก่อน” เซิร์ฟยื่นถุงขนมและน้ำผลไม้ที่สั่งผู้เป็นพ่อแวะซื้อมาให้ส่งให้เด็กสาวพร้อมกับรอยยิ้ม
“พี่เซิร์ฟไม่หิวเหรอคะ แบ่งคนละครึ่งก็ได้นะคะแพรไม่ได้หิวมากเท่าไหร่” แพรไหมรับมาอย่างมีมารยาทเมื่อเปิดดูในถุงก็พบว่ามีขนมปังชิ้นใหญ่และน้ำผลไม้จึงถามชายหนุ่มกลับไป
“พี่ไม่หิวครับ น้องแพรทานเถอะครับพี่ตั้งใจซื้อมาให้ครับ”
">“ขอบคุณค่ะ”