บท
ตั้งค่า

ตอนที่2 โลกเหวี่ยงความสุขมาให้

ตอนที่2 โลกเหวี่ยงความสุขมาให้

ขอบคุณฟ้าที่เหวี่ยงความสุขเล็ก ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นบนโลกใบนี้มาเติมเต็มชีวิตของผมให้สมบูรณ์

สองพ่อลูกเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนคนเป็นแม่แปลกใจจึงเอ่ยถามขึ้น

“ไปบ้านเพื่อนมาแม่พอเข้าใจว่าพ่อเราอารมณ์ดี แต่เจ้าลูกชายตัวดีของแม่ยิ้มหน้าบานมาแบบนี้แม่ชักสงสัยแล้วสิว่าไปเจออะไรดี ๆ มา” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามออกไปเมื่อแหงะไปมองสองพ่อลูกเดินยิ้มอารมณ์ดีมาแต่ไกล

“ก็นิดหน่อยครับ วันนี้แม่ทำอะไรทานบ้างครับผมหิวข้าวมากเลย” ชายหนุ่มเฉไฉไม่ตอบคำถามผู้เป็นแม่ ยื่นมือไปหยิบไก่ทอดในจานที่ส่งกลิ่นหอมเชื้อเชิญอยู่บนโต๊ะเข้าปาก

“เฉไฉเก่งนะเจ้าลูกคนนี้ วางลงแล้วไปอาบน้ำก่อนค่อยมาทาน เร็ว ๆ ด้วยนะคุณย่ารอทานข้าวนานแล้ว” มือเรียวของผู้เป็นแม่ตีเข้าที่มือหนาขณะที่กำลังหยิบไก่ทอดในจานจนต้องวางกลับลงที่เดิม

“ครับ..ดุจังเลยนะครับ ขอชิมชิ้นเดียวก็ไม่ได้”

“คุณก็ด้วยรีบไปอาบน้ำเลยนะคะ ไปหาเพื่อนทีไรติดลมตลอด” ญาดาหันไปพูดกับสามีที่ยืนมองเธอและลูกหยอกล้อกัน

“เซิร์ฟมันช่วยสอนการบ้านน้องแพรอยู่เลยกลับช้านิดหน่อย อย่าโมโหเลยคุณ” วสินเอาลูกชายมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด แต่คนที่อยู่ด้วยกันมาครึ่งชีวิตย่อมรู้ดีว่านั่นคือการเอาตัวรอดของคนเป็นสามี

“อย่าเอาลูกมาอ้างเลยค่ะ เกเรพอกันทั้งพ่อทั้งพ่อทั้งลูกวันหลังจะให้อดข้าวเย็นกันให้เข็ด” ญาดาแกล้งขู่ออกไปไม่จริงจังนัก

“คุณไม่ทำแบบนั้นหรอกที่รักผมรู้ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” เมื่อสถานการณ์ไม่สู้ดีนักวสินจึงรีบขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเพราะตอนนี้กำลังตกที่นั่งลำบาก

ห้องอาหาร

“วันนี้พ่อหลานพาไปทำอะไรมาทำไมดูอารมณ์ดีแปลก ๆ สองคนพ่อลูก” หญิงสูงวัยเอ่ยถามหลานรักเมื่อสังเกตเห็นทั้งสองคนอารมณ์ดีหลังจากที่หายออกจากบ้านไปเมื่อตอนเย็น

“ไปเจอสิ่งที่พ่ออยากได้ครับ” ทุกคนต่างมองหน้าชายหนุ่มเมื่อได้ยินคำตอบ

“อะไรคือสิ่งที่พ่อหลานอยากได้”

“สิ่งมีชีวิตที่น่ารักครับ คุณย่าและคุณแม่เห็นก็ต้องชอบเหมือนกันครับ”

“พูดจาแปลก ๆ นะลูกคนนี้ชักจะเหลวไหลไปกันใหญ่ ชอบพากันไปทำอะไรพิเรนทร์ ๆ เดี๋ยววันหลังแม่จะไม่ให้ออกจากบ้าน”

“น้องน่ารักมากเลยนะครับ ผมรับรองคุณแม่เห็นน้องแล้วจะชอบเหมือนผมกับพ่อ” เซิร์ฟบอกออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจเผลอยิ้มมุมปากเมื่อพูดจบ

“พ่อเห็นด้วย น่ารักมากจริง ๆ รับรองถ้าคุณเจอคุณต้องชอบมาก ๆ” วสินช่วยยืนยันคำพูดของลูกชายอีกเสียงดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“เข้ากันดีนัก ถ้าแม่รู้ว่าพากันไปทำอะไรที่ไม่ดีมาแม่จะจัดการขั้นเด็ดขาดเลยคอยดู” ญาดาส่งสายตาดุ ๆ พร้อมพูดขู่ให้สองพ่อลูกแต่ทั้งสองหามีทีท่าหวาดกลัวไม่

“ผมและพ่อเป็นคนดีครับ” เซิร์ฟตอบกลับผู้เป็นแม่ออกไปเสียงเรียบ

“ดีให้มันได้ตลอดแล้วกัน”

หลังทานอาหารเย็นเสร็จเซิร์ฟก็กลับขึ้นมาบนห้องนอนส่วนตัวและเดินแยกไปยังห้องกระจกที่ยื่นออกไปนอกระเบียงที่ทำเอาไว้สำหรับนอนดูดาวและชมท้องฟ้ายามค่ำคืน ห้องที่ปิดสนิทมานานหลายเดือนถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง ม่านสีเทาป้องกันแสงยูวีและแสงแดดถูกเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นความสวยงามของท้องฟ้าและทุ่งข้าวยามค่ำคืนที่ทอดยาวจนลับสายตา

“วันนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว พี่อยากพาเรามาดูดาวสวย ๆ แบบนี้จังเด็กน้อยของพี่” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองสักพักก็หยิบกีตาร์ตัวโปรดที่วางอยู่มุมห้องขึ้นมาเล่นเพลงโปรดที่ชอบเล่นเป็นประจำ

เสียงกีตาร์และเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ดังแข่งกับเสียงร้องของแมลงกลางคืน วิวด้านหน้าคือทุ่งข้าวเขียวขจีที่กำลังตั้งท้องโบกพัดไปมาตามแรงลมที่พัดโบกยามค่ำคืน แสงสะท้อนของแสงไฟที่ติดอยู่ตามทางเดินสะท้อนกับผิวน้ำบ่อเล็ก ๆ ด้านหลังบ้านให้บรรยากาศที่เงียบสงบ ไดอารี่เล่มเล็กสีเทาถูกหยิบออกจากลิ้นชักและจดบันทึกความทรงจำลงไปอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เขียนมานาน

ไดอารี่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2547

วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอกันเด็กน้อยขี้บ่นของพี่ บ่นเก่งพอ ๆ กับยิ้มเก่ง ชอบทำหน้าบึ้งแต่เวลายิ้มน่ารัก ลักยิ้มข้างขวาที่ดูมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ดูห้าว ๆ แต่ก็อ่อนโยนในเวลาเดียวกัน..พรุ่งนี้เจอกันเด็กน้อยของพี่

หลังจากเขียนข้อความเสร็จก็หยิบดินสอในโหลมาวาดรูปการ์ตูนเด็กผู้หญิงไว้มุมกระดาษก่อนจะเก็บลงที่เดิมแล้วปิดม่านปิดไฟเดินกลับเข้าห้องนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า

เช้าวันใหม่

เซิร์ฟตื่นมาในตอนเช้าก็พบว่าฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก บรรยากาศด้านนอกมืดครึ้ม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีดำและกลุ่มฝนที่เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็คว้ากระเป๋าและแจ็กเกตเดินลงไปยังชั้นล่าง ไฟทุกดวงในบ้านถูกเปิดสว่างจ้าม่านและหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิท

“ข้างนอกฝนตกหนักเลยนะครับ” ชายหนุ่มพูดกับพ่อที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร

“อือ..วันนี้กรมอุตุบอกว่าพายุเข้า น่าจะตกแบบนี้ทั้งวันนะ”

“รีบมาทานข้าววันนี้รถน่าจะติด เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน” วสินเอ่ยเรียกลูกชายที่เอาแต่ยืนชะเง้อมองดูเม็ดฝนที่หล่นกระทบกับใบไม้ ใบหญ้า และพื้นดิน

เมื่อทั้งสองทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยก็ต้องขับรถฝ่าสายฝนเพื่อไปโรงเรียน ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนของชายหนุ่มค่อนข้างไกลและใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งชั่วโมง วันนี้ฝนดันมาตกหนักความคิดแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือเด็กน้อยของเขาจะไปเรียนยังไงเพราะที่บ้านแพรไหมไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวมีเพียงรถกระบะคันเก่าที่ครอบครัวเอาไว้ขับไปไร่ไปสวน ปกติเธอจะเดินทางไปเรียนด้วยรถสองแถวประจำทาง จากที่ได้คุยกับเธอเมื่อวานจึงรู้ว่าโรงเรียนของแพรไหมห่างจากบ้านไป 18 กิโลเมตรอยู่ถนนเส้นหลักขอนแก่น-สารคามซึ่งเป็นทางผ่านไปโรงเรียนเขาพอดีถ้าเขาใช้ถนนสายรอง

“พ่อครับ เราแวะรับน้องแพรไปด้วยดีกว่านะครับวันนี้ฝนตกหนักน้องนั่งรถสองแถวน่าจะไม่สะดวก” ชายหนุ่มเอ่ยบอกคนเป็นพ่อเมื่อรถวิ่งมาใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้านของเด็กสาวพอดี

“พึ่งเจอน้องเขาวันเดียว มารับน้องเขาไปเรียนแล้วเหรอไอ้ลูกชาย” วสินเอ่ยแซวลูกชายออกไปแต่ก็ยอมหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าหมู่บ้านของเด็กสาวอย่างเต็มใจ

“ฝนตกหนักนะครับพ่อ ขึ้นสองแถวก็อันตรายแถมน้องอาจจะโดนฝนเปียกด้วย” เซิร์ฟให้เหตุผลผู้เป็นพ่อออกไป เมื่อรถขับมาจอดบริเวณหน้าบ้านหลังเล็กชายหนุ่มก็ชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวบ้านที่ตอนนี้ประตูหน้าบ้านเปิดอยู่ จังหวะนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดนักเรียนเดินสะพายกระเป๋าเป้ถือร่มคันเล็กอยู่ในมือเดินออกมาพอดี

“น้องแพร” เซิร์ฟรีบลดกระจกรถลงทันทีและตะโกนเรียกออกไปเสียงดัง

“อ้าวพี่เซิร์ฟ มาได้ไงคะ” หญิงสาวที่กำลังก้มลงใส่รองเท้านักเรียนสีดำเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นติวเตอร์หนุ่มที่ช่วยสอนหนังสือให้เธอเมื่อวาน

“ขึ้นรถเถอะครับเดี๋ยวพี่ไปส่ง วันนี้ฝนตกหนักมาก” เซิร์ฟรีบลงจากรถกางร่มคันใหญ่เดินไปรับหญิงสาวถึงในบ้าน

“ขอบคุณค่ะ แพรก็กังวลอยู่ว่าจะไปเรียนได้ไหม ฝนตกหนักมากเลยค่ะ”

“ขึ้นไปก่อนครับ” เซิร์ฟเปิดประตูรถด้านหลังให้เด็กสาวขึ้นไปนั่งและปิดประตูรถก่อนที่ตัวเองจะกลับขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างคนเป็นพ่อเช่นเดิม

“สวัสดีค่ะคุณลุง” เด็กสาวยกมือไหว้และกล่าวทักทายพ่อของชายหนุ่ม

“สวัสดีจ้ะหนูแพร วันนี้คุณพ่อไม่ได้ออกไปสวนใช่ไหมครับ” วสินเอ่ยถามถึงเพื่อนที่ปกติจะออกไปสวนทุกวัน แต่วันนี้ฝนตกหนักน่าจะอยู่บ้าน

“ค่ะ วันนี้ฝนตกพ่ออยู่บ้านค่ะ”

“หน้าฝนก็ลำบากแบบนี้แหละ จะทำอะไร เดินทางไปไหนก็ลำบาก” วสินชวนคุยตลอดทางโดยมีชายหนุ่มแอบมองเด็กสาวผ่านกระจกมองหลัง

“ถ้ามองไม่ถนัด ปรับไปทางแกก็ได้นะพ่อกลัวแกตาเหล่” วสินที่สังเกตเห็นลูกชายเหล่มองกระจกหลังมาสักพักจึงเอ่ยแซวขึ้น

“ถนนข้างหน้ายังไม่มืดพอใช่ไหมครับถึงได้มีเวลามองคนอื่นแบบนี้ ขับรถอย่าประมาทสิครับคุณวสิน” เซิร์ฟสวนกลับผู้เป็นพ่ออย่างไม่จริงจังนัก จนวสินถึงกลับหลุดหัวเราะออกมาที่ได้ยินลูกชายตอบกลับมาแบบนั้น

“น้องแพรไม่พกเสื้อกันหนาวมาด้วยล่ะครับ วันนี้ฝนตกอากาศหนาวนะครับ” เซิร์ฟหันหลังไปพูดกับเด็กสาวที่นั่งกอดกระเป๋าสะพายอยู่ด้านหลัง ฝนที่ตกหนักบวกกับอุณหภูมิภายในรถที่เปิดแอร์ค่อนข้างเย็นจึงส่งผลให้แพรไหมที่ไม่ค่อยเจอกับอากาศหนาวนั่งขนลุกอยู่ด้านหลัง

“แพรไม่คิดว่ามันจะหนาวเลยไม่ได้หยิบมาค่ะ” ริมฝีปากอวบอิ่มที่ซีดลงเล็กน้อยตอบกลับชายหนุ่มออกไป

“งั้นเอาของพี่ไปใส่ก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” แจ็กเกตสีเขียวเข้มที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนเอกชนชื่อดังติดอยู่ถูกส่งให้เด็กสาว

“ขอบคุณค่ะ” แพรรับแจ็กเกตมาสวมใส่และกล่าวขอบคุณชายหนุ่มกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“อุ่นขึ้นไหมครับ”

“อุ่นขึ้นแล้วค่ะ” ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยกลับมาขาวอมชมพูอีกครั้งเมื่อสวมแจ็กเกตตัวหนาและเซิร์ฟเองก็ปรับอุณหภูมิในรถให้อุ่นขึ้นเล็กน้อย

รถยนต์คันหรูขับมาจอดบริเวณด้านหน้าโรงเรียนมัธยมขนาดกลางประจำตำบล ก่อนจะมีครูเวรที่ยืนกางร่มยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าเดินเข้ามาเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ

“ผู้ปกครองมาส่งนักเรียนใช่ไหมคะ” เสียงครูเวรตะโกนถามแข่งกับเสียงฝนก่อนที่พ่อของชายหนุ่มจะพยักหน้าและตอบกลับไป

“ครับ”

“ขับรถเข้าไปส่งนักเรียนที่ด้านหน้าอาคารเรียนได้เลยค่ะ” เมื่อได้รับอนุญาตรถยนต์คันหรูก็ขับตามทางเข้าไปด้านใน ระหว่างทางที่เป็นฟุตบาทก็มีนักเรียนจำนวนมากเดินกางร่มฝ่าสายฝนเข้ามาจากด้านหน้าโรงเรียนอย่างทุลักทุเล

“คุณลุงจอดด้านหน้าอาคาร 5 ตรงนั้นเลยค่ะ” แพรไหมเอ่ยบอกพ่อของชายหนุ่มออกไปเมื่อรถเคลื่อนตัวมาถึงด้านหน้าอาคารที่เธอมีเรียนคาบแรกในเช้าวันนี้

“เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้ น้องแพรรอแป๊บหนึ่งครับ” เซิร์ฟรีบลงจากรถและรีบเปิดประตูด้านหลังพร้อมกับกางร่มรอรับเด็กสาวที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถ

“ถ้าตอนเย็นฝนตก รอพี่นะครับเดี๋ยวพี่มารับ” เซิร์ฟยังไม่ลืมบอกกับเด็กสาว

“ไม่เป็นไรค่ะ แพรกลับเองได้ค่ะ”

“รอพี่นะครับ ถ้าฝนตกอย่ากลับเองเด็ดขาด นี่เบอร์โทรศัพท์พี่ครับถึงห้องเรียนแล้วโทรหาพี่ด้วย อย่าลืมเมมเบอร์ไว้ด้วยนะครับ..พี่ไปเรียนก่อน” กระดาษแผ่นเล็กถูกยัดใส่มือเด็กสาวก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบวิ่งกลับขึ้นรถที่ผู้เป็นพ่อจอดรออยู่

“พ่อนึกว่าแกจะเรียนที่นี่กับน้องซะอีก” วสินเอ่ยแซวลูกชายที่ยืนร่ำลาเด็กสาวอยู่นานสองนาน

“คุณวสินครับ ออกรถได้แล้วครับผมจะไปเรียนสาย” เซิร์ฟตอบกลับผู้เป็นพ่อสีหน้าเรียบนิ่งซึ่งต่างกับตอนที่คุยกับเด็กสาวเมื่อสักครู่

“ทีตอนยืนร่ำลาน้องเขาอยู่นานสองนานไม่เห็นกลัวว่าจะไปเรียนสาย ทีนี้มาเร่งพ่อ ฝนตกห้ามขับรถเร็วมันอันตรายไอ้ลูกชาย” วสินตอกกลับลูกชายอย่างไม่มีใครยอมใคร เรื่องราวต่าง ๆ ถูกหยิบขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเดินทาง

ครืด ครืด ครืด ขณะที่สองพ่อลูกขับรถออกมาได้สักพักเสียงโทรศัพท์ชายหนุ่มก็สั่นและมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกดรับสายเพราะเบอร์ที่โทรเข้ามานั้นเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก

“แพรเองค่ะ แค่นี้นะคะเดี๋ยวโทรศัพท์แพรเงินหมด (ตอนนั้นโทรศัพท์ยังใช้ระบบเติมเงินและค่าโทรยังแพงนาทีละ 5 บาท)

“อ้าว..วางสายไปซะแล้ว เด็กน้อยเอ้ย” หลังจากวางสายเซิร์ฟก็ยิ้มให้กับโทรศัพท์และรีบกดบันทึกเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อสักครู่ทันที เพิ่มในรายชื่อติดต่อใหม่ [เด็กน้อยของพี่]

“เป็นเอามากลูกชายฉัน ใครโทรมาทำไมรีบวางขนาดนั้น โทรผิดหรือยังไง” วสินหันไปถามลูกชายทั้งที่พอจะเดาออกเพราะดูจากสีหน้าลูกชายที่ยังไม่หุบยิ้มนั้นคนที่โทรเข้ามาคงหนีไม่พ้นเด็กสาวที่เขาพึ่งไปส่งมาเมื่อไม่กี่นาที

“สาบานว่าที่ถามเพราะพ่อไม่รู้จริง ๆ”

“น้องยังเด็กอยู่เลยนะ อายุยังไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ”

“พูดเหมือนน้องโตไม่เป็นเลยนะ ผมไม่ได้คิดจะเอาตอนนี้สักหน่อย ผมรอได้อีกแค่ไม่กี่ปี”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel