ตอนที่ 6
สองชั่วโมงผ่านไป หญิงสาวไม่คิดว่ากาแฟดำที่ข้างปั๊มน้ำมันเพียงแก้วเดียวจะทำให้เธอตื่นตัว ประสาทตึง ดวงตาเบิกโพลงจนสามารถขับรถได้ยาวนานโดยไม่หยุดพัก ตลอดระยะทางกว่า 240 กิโลเมตรที่ออกจากกรุงเทพฯ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มาถึงนครสวรรค์ เมื่อรถกำลังแล่นผ่านสะพานเดชาติวงศ์ที่พาดขวางลำน้ำเจ้าพระยา เชื่อมภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนเอาไว้ด้วยกัน เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันของรถทุกคันที่ต้องสัญจรผ่านไปยังภาคเหนือ เช่นเดียวกับจุดหมายปลายทางที่เธอตั้งใจเอาไว้…ก็อยู่ที่นั่น
เสียงครืดของโทรศัพท์มือถือที่ตั้งระบบสั่นสะเทือนเอาไว้ ดังขึ้นทำลายความเงียบและเย็นภายในรถ
“ตายละ!...”
หล่อนสะดุ้งเล็กน้อย ตามด้วยเสียงอุทานเบาๆ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของดาวเรียงออกจะโผงผาง กระโดกกระเดกด้วยซ้ำ เป็นคนละคนกับผู้หญิงสวยหวาน เรียบร้อย ที่เห็นบ่อยๆในจอทีวีอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีสายเรียกเข้า ทว่าหญิงสาวใจลอยจนแทบไม่รับไม่รู้สิ่งใด
มือเรียวเอื้อมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมอง ขณะที่มืออีกข้างยังคงประคับประคองพวงมาลัย แล่นเรื่อยเอื่อยข้ามสะพานแห่งนั้น เหลือบแลเห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษขึ้นโชว์ชัดเจน
‘35 Misscall’
“พระเจ้าช่วยกล้วยทอด” เธออุทาน
สันนิษฐานได้ไม่ยากว่าจะเป็นใครไปไม่ได้ หากไม่ใช่เจ๊แป๊ด ผู้จัดการส่วนตัวของเธอเอง
หญิงสาวกดดูข้อความไปมา ครั้นแล้วก็กดปิดสวิทซ์ โยนโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋าสะพายอย่างไม่ใยดี
ที่เชียงใหม่
รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหรูของดาวเรียง วิ่งมาถึงปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เธอกวาดสายตาสำรวจสภาพภายในปั๊มน้ำมันแห่งนั้นว่าปลอดภัย ไม่มืด ไม่เปลี่ยวจนเกินไป หากจะจอดรถหลับ เมื่อเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้จุดหมาย หมอกยิ่งลงหนา ไม่ควรดันทุรังขับฝ่าออกไปทั้งที่ทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย
หญิงสาวตัดสินใจงีบหลับในรถ เพียงช่วงสั้นๆ พักสายพาที่เพ่งฝ่าแสงไฟจากรถร่วมทางที่สาดไฟสวนมาจากอีกฝั่งของถนน รอให้หมอกจาง ฟ้าสาง ถนนหนทางเริ่มมีแสง ทัศนวิสัยดูปลอดภัยกว่านี้ ค่อยตื่นขึ้นมาพร้อมเรี่ยวแรงอีกครั้ง
ดาวเรียงรู้สึกว่าตัวเองหลับไปไม่นาน หากก็พอเพียงสำหรับชดเชยความเมื่อยขบ อ่อนล้า ที่ขับรถแรมรอนมาอย่างบ้าคลั่ง แทบไม่พักไม่ผ่อน
ชั่วอึดใจจากนั้น หญิงสาวก็ขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปสู่การเดินทางอีกครั้ง ใช้เวลานานกว่าสามชั่วโมง ไต่ไปตามเส้นทางที่ยาวไกลกว่า 156 กิโลเมตร มุ่งไปทางทิศตะวันตกของจังหวัดเชียงใหม่ เป้าหมายคืออำเภอแม่แจ่ม ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
ดาวเรียงขับรถข้ามดอยอินทนนท์ ไต่ไปตามทิวเขาสลับสล้าง ไล่ไปตามเส้นทางคดเคี้ยว หลายเลี้ยว หลายโค้ง ขึ้นลงไปตามความลาดชันลดหลั่นของเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน เกือบสามชั่วโมง ก็มาถึงอำเภอแม่แจ่มอันเป็นจุดหมาย
แม่แจ่มในวันนี้ ที่สายตาของเธอเห็น ยังคงซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ ยังแลเห็นฉากชีวิตอันแช่มช้อยอ้อยอิ่ง สงบงามอยู่ท่ามกลางหุบเขาราวไพรที่โอบกอดมันเอาไว้ทุกด้าน
ทะเลหมอกยามเช้ายังคงขังตัวสงบ นิ่งรอแสงตะวันของวันใหม่ ช่วยนำพาให้มันระเหิดระเหยขึ้นไปเป็นเมฆ แล้วกลั่นเป็นเม็ดฝน หลั่งคืนผืนนาข้าวขั้นบันไดที่แลดูเหมือนพรมสีเขียวผืนใหญ่ ขยับใบอ่อนไหว เริงระบำอยู่ในสายหมอก เรามองเห็นลมได้จากใบข้าวสีเขียวที่กำลังกระเพื่อมพลิ้วเป็นระลอกคลื่นอยู่กลางผืนนา
แม้มีความแตกต่างบางอย่างของภูมิทัศน์ แทรกขึ้นมาขัดหูขัดตา ทำลายภาพที่ฉายชัดอยู่ในความทรงจำวันเก่าของเธอ ทว่าแม่แจ่มในวันนี้ก็ยังคงงดงามและเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ หล่อนนึกขอบคุณความเจริญและสาธารณูปโภคที่ยังกระจายเข้ามาไม่ถึง ขอบคุณที่ความเจริญยังไม่เข้ามารุกราน
ปรี๊นนนนน…..
เสียงแตรรถดังขึ้นท่ามกลางสายหมอกที่ยังโรยตัวอยู่รางๆ บางส่วนของแสงเงินแสงทองเริ่มสาดทอประกายขึ้นเหนือท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันออก
ชั่วอึดใจ ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าประตูบ้านซึ่งทำจากไม้ไผ่ขัดสาน เช่นเดียวกับรั้วที่ล้อมรอบพื้นที่กว้างของตัวบ้านเอาไว้ ก็ทำจากไม้ไผ่เช่นกัน
สูงขึ้นไปทั้งซ้ายและขวาของปลายรั้วที่ตัดเฉียงเอาไว้เป็นปากฉลาม ปกคลุมเอาไว้ด้วยสีเขียวของใบและยอดอ่อนของเถามะระ อวดดอกดวงเล็กๆสีเหลืองอ่อน เลื้อยระเป็นพุ่มแผ่ออกไปทั้งซ้ายและขวา อีกฟากเป็นเถาตำลึงชูยอดอ่อนสลอน อวดผลสุกสีแดงปลั่งที่มีร่องรอยปากของนกจิกฝากเอาไว้
“มาหาใครคะ?” ผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าสวย