บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 จินตนาการ

หลังจากกลับมาจากไท่จี้กงที่เก็บพระศพของอดีตต้าหวางแล้ว จ่างซุนอู๋จี้ก้าวเดินเข้าไปในตกกงมุ่งหน้าไปยังโถงเข้าไปยังเรือนเยว่จินซึ่งเป็นเรือนนอนของเขา เขานั่งลงบนสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำภายในสระร้อนกรุ่นจนควันลอยขึ้นมาในอากาศ อีกทั้งสระน้ำแห่งนี้สามารถลงไปได้ถึงเจ็ดแปดคนเห็นจะได้

หวังเตอเทเหล้าดอกท้อที่ร้อนกรุ่นใส่จอกเหล้าให้กับเขา เขากลับไม่รับจองเหล่า หวังเตอรู้สึกสงสัยกลับมีสายตาเหมอลอยเขาเองก็ไม่เคยเห็นสายตาเช่นนี้มาก่อน จึงเอ่ยเรียกเขาเบาๆ

“ไท่จื่อ เสวยน้ำชาก่อนพระเจ้าค่ะ” หวังเตอเอ่ยบอกเช่นนี้ แต่เขากลับเงียบนิ่ง หวังเตอหันไปมองหยางจื่อที่อยู่ข้างๆ หยางจื่อก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมอู๋จี้มีสายตาที่เหม่อลอยเหมือนกำลังคิดสิ่งใดอยู่

“ไท่จื่อ...ไท่จื่อพระจ้าค่ะ” หยางจื่อเอ่ยเรียกเขา เขาหันหลังมามองหน้าหยางจื่อด้วยสายตาเรียบเฉย ทำให้หยางจื่อรู้สึกขนลุกเย็นไปถึงกระดูก

“นางกำนัลคนใหม่ของเหนียงชิน นางชื่ออะไร” อู๋จี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย รับถ้วยน้ำชาจากหวังเตอทำให้มือเขาอุ่นขึ้น

“คนที่อยู่ข้างๆ หวางโฮ่ววันนี้หรือพระเจ้าค่ะ” หวังเตอเอ่ยถาม

“ใช่” อู๋จี้เอ่ยบอก

“นางเป็นบุตรสาวสกุลไป๋ เตี่ยของนางคือไป๋เค่อ เจ้าเมืองลี่ นามว่า ไป๋ซู่ซู่” หวังเตอเอ่ยบอก อู๋จี้ได้ยินชื่อของไป๋เค่อเขาจึงเลิกคิ้วขึ้น

“เจ้าเมืองลี่ที่เสียสละตัวเองและเมืองลี่เพื่อไม่ให้แคว้นหารเข้ามาถึงเมืองหลวงใช่หรือไม่” อู๋จี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ใช่พระเจ้าค่ะ ได้ข่าวมาว่าคนในตระกูลของนางต่างเสียสละตนพร้อมกับชาวเมือง เพื่อให้คุณหนูไป๋หนีออกมาแจ้งข่าว เพราะม้าเร็วไม่ส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงเลย จึงทำให้ต้องเสียเมืองลี่ไป” หยางจื่อเอ่ยบอก

“นางต้องเดียวดายไร้เตี่ย ขาดเหนียงชินและครอบครัว รวมไปถึงชาวเมืองลี่ที่ยอมเสียสละเพื่อไม่ให้แคว้นหานเข้ามาบุกตีถึงเมืองหลวง และทำให้ข้ามีเพลาสกัดทัพของแคว้นหานอีกด้วย น่าชื่นชมสกุลไป๋และชาวเมืองลี่ยิ่งนัก” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงชื่นชมจากใจจริง

“ไท่จื่อพระเจ้าค่ะ” ทหารคนหนึ่งเอ่ยบอกและถวายบังคมตรงหน้าของอู๋จี้ด้วยความนอบน้อม

“มีอะไร” อู๋จี้เอ่ยถาม

“สวี่ฮุ้ยฟูเหรินขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ” ทหารผู้นี้เอ่ยบอก

“บอกให้นางไปพักผ่อน” อู๋จี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและหลับตาลงช้าๆ ทหารไม่กล้ากล่าวสิ่งใดต่อได้แต่ถวายบังคมก้าวเดินออกไป เช่นเดียวกับหวังเตอและหยางจื่อที่ก้าวเดินออกไปเช่นกัน

จ่างซุนอู๋จี้ค่อยๆ ลืมตาช้าๆ ทอดสายตามองไปยังหลังม่านกั้นที่มีถึงสามชั้น เขากับเห็นว่าหญิงสาวผู้หนึ่งย่างกายผ่านผ้าม่านเข้ามาช้าๆ เขาใช้มือคว้ามีดสั้นที่อยู่ข้างกาย แม้กระทั่งอาบน้ำมีดสั้นชิ้นนี้ก็ไม่เคยห่างกายเขาแต่อย่างใด

นางเดินผ่านม่านชั้นที่สองมายังชั้นแรงทำให้เขาเห็นว่าหญิงสาวใบหน้างดงามไร้ที่ติราวกับเทพธิดามาจุติก็มิปาน อีกทั้งนางยังสวมใส่ชุดสีชาดลายกล้วยไม้สีทึบขับกับสีผิวขาวผ่องริมฝีปากเป็นกระจับแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ทำให้เขาใจเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนเขาอยู่แทบไม่สุข แต่ต้องสะกดอารมณ์กำหนัดเอาไว้

“ไป๋ซู่ซู่ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” เขาเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน นางค่อยๆ ยกยิ้มที่ริมฝีปาก เปลื้องผ้าที่สวมใส่เพียงชิ้นเดียวออกจากเรือนร่างมากองที่พื้น เขามองนางด้วยสายตาเป็นประกายหื่นกระหาย เขาไม่เคยเห็นเรือนร่างที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย ทั้งปทุมถันทั้งสองข้างที่ใหญ่โตเกินตัว หน้าท้องที่แบนราบ สะโพกของนางผาย และที่สำคัญกลีบร่องที่อวบอูมมีเพียงแนวขนที่ปิดบังเอาไว้

“ไท่จื่อ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขารู้สึกว่าน้ำเสียงที่นางเรียกเขาช่างกระเส่าเย้ายวนอย่างยิ่ง เขาไม่อาจนั่งตรงนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนทันที เลื่อนกางเกงชิ้นเดียวที่สวมใส่อยู่ที่ลู่ไปกับดุ้นที่ใหญ่โต แต่มันไม่ได้หลับใหลแต่อย่างใด มันกลับผงาดขึ้นและแข็งตัว นางมีใบหน้าที่แดงกล่ำและเมินหน้าหนีทันที เขาก้าวเดินเข้าไปหานางที่ยืนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างจากเขา เขาผลักนางนอนลงกับพื้นตำหนักที่เย็นราวกับน้ำแข็ง นางเผยรอยยิ้มที่แสนยั่วยวนทำให้เขาเกิดกำหนัดมากยิ่งขึ้น เขาจึงพลิกนางหันหลังจับดุ้นยัดไปทันที

“ไท่จื่อ...” เสียงกระเส่าวาบหวานซาบซ่านดังจากริมฝีปากบาง เขาไม่อาจทนรอให้นางปรับตัวกับดุ้นที่ใหญ่โตกว่าคนทั่วไปได้ จึงดันเข้าไปครึ่งหนึ่ง

“ทะ...ไท่...ไท่จื่อ...หม่อม...ฉัน...เจ็บ...งื้อ...” นางร้องครางเสียวราวกับแทบเจ็บแทบขาดใจนางไม่อาจต้านทานดุ้นที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้ ทั้งที่มันเข้ามาเพียงครึ่งเดียวก็ตามที นางกลับกรีดร้องครางกระเส่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาทนไม่ไหว ยัดดุ้นเข้าไปทั้งหมด

“ไท่จื่อ...ไท่จื่อ...”

เสียงของหวังเตอเรียกเขาให้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ เขามองไปโดยรอบห้องกลับไม่มีไป๋ซู่ซู่อยู่ภายในห้อง และเขาก็ไม่ได้เสพสังวาสกับนาง มันเป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้นที่ได้สมสู่กับนาง

“หาสิ่งใดอยู่หรือพระเจ้าค่ะ” หวังเตอเอ่ยถามด้วยความสงสัย เห็นว่าอู๋จี้กวาดสายตามองไปรอบห้อง

“ไม่มีอะไร” อู๋จี้เอ่ยบอก แล้วถอนหายใจยาวๆ เขาคิดว่าสิ่งที่เขาคิดน่าจะเป็นความจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงเขาคงไม่ต้องเอามือชักอยู่ตอนนี้

“สวี่ฟูเหรินกลับไปแล้ว จะให้หม่อมฉันเรียกฟางฟูเหรินหรือเหมิงฟูเหรินมาปรนนิบัติพระองค์ดีหรือไม่” หวังเตอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่กล้าที่จะมองมือหนาที่กำลังชักขึ้นชักลงอย่างเร่งรีบ

“ไม่...อืม...อา...” อู๋จี้ร้องครางกระเส่าด้วยความเสียวและปล่อยน้ำกามให้ไหลไปกับสายน้ำในสระ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก้าวเดินออกจากสระน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่านำผ้ามาเช็ดเรือนร่างกายใส่เสื้อผาวสีขาวสะอาดตามาสวมใส่ และก้าวเดินออกผ่านผ้าม่านออกไป

หวังเตอและผู้คนในตำหนักรู้ดีว่าอู๋จี้จะขาดผู้หญิงไม่ได้ ถ้ายิ่งก่อนจะทำศึกพวกนางต้องแข็งแรงและทนกับแรงกระแทกของเขา ไม่เช่นนั้นนางเหล่านั้นจะสลบและบาดเจ็บจากการกระทำของเขา

ไป๋ซู่ซู่นางกลับมาในเรือนเถาฮวาประมาณสองชั่วยามเห็นจะได้ นางนั่งลงบนตั่งยาวในมือเรียวถือตำราการครองเรือน ทอดสายตามองตำรานั้นอยู่ด้วยเช่นกัน หลี่ม่านถัวนำกาชาจากเตาก่อฝืนรินน้ำชาร้อนส่งมอบให้ซู่ซู่ได้ดื่มคลายหนาว ซู่ซู่รับถ้วยชาจากมือเรียวของม่านถัว แล้วดื่มหนึ่งคำ

“ขอบใจ พวกเจ้าออกไปเถิด เดี๋ยวข้าจะนอนแล้ว” ซู่ซู่เอ่ยบอกเช่นนี้ นางกำนัลให้ความเคารพแก่ซู่ซู่เช่นทุกครั้ง แล้วก้าวเดินออกไป แต่ม่านถัวยังคงยืนอยู่เพื่อปรนนิบัติไป๋ซู่ซู่อยู่

“เจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าอยากนอนคนเดียว” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วส่งถ้วยให้ม่านถัว

“คุณหนูจะนอนคนเดียวได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” ม่านถัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลใจ เพราะทุกๆ คืน ม่านถัวจะนอนกับซู่ซู่บนฟูกหนาข้างตั่งเตียง ด้วยซู่ซู่ชอบฝันร้ายและร่ำไห้บ่อยครั้ง อาจจะสะเทือนใจเรื่องราวในอดีตที่แล้วมา และยังคงฝังใจอยู่ทุกวันนี้

“วันนี้ข้าอยากลองนอนคนเดียว เจ้าอย่าได้ห่วงเลยนะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ม่านถัวเผยรอยยิ้ม

“เจ้าค่ะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แล้วทำความเคารพซู่ซู่เช่นทุกครั้ง และก้าวเดินออกไปทันที

ซู่ซู่ก้าวเดินไปยังตั่งเตียง สายตาของนางมองไปยังหีบกล่องไม้สีดำลายดอกเหมยสีแดงขนาดยาวไม่ใหญ่มากและไม่เล็กมากนักตรงหัวเตียง นางเปิดหีบใบนี้ นางเห็นว่าในหีบมีดสั้นหุ้มปลอกที่เตี่ยของนางได้มอบให้ มันยังทำให้นางหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยากที่จะลืมเลือน

สิ่งที่หลี่ม่านถัวเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ไป๋ซู่ซู่เข้าวังมา นางฝันร้ายในทุกๆ คืน เพราะนางเก็บเรื่องราวในครั้งนั้นมาฝันอยู่บ่อยครั้ง และสะดุ้งตื่นร่ำไห้อย่างหนักอยู่ร่ำไป ม่านถัวคอยปลอบประโลมให้นางคลายเศร้าลง แต่ก็ยังเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ม่านถัวจึงไม่ค่อยปล่อยให้นางอยู่คนเดียว

ม่านถัวก้าวเดินเข้ามาในห้องนอนของซู่ซู่อีกครั้ง นางไม่ได้เดินมาคนเดียว แต่ก้าวเดินมาพร้อมนางกำนัลของเยว่ชิงหวางโฮ่วประมาณสี่คน ไป๋ซู่ซู่นำมีดสั้นใส่หีบและวางไว้ที่เดิม ซู่ซู่กลับสงสัยว่าทำไมนางกำนัลเหล่านี้นำพานใส่เครื่องประดับและชุดเสื้อผ้าชั้นดีสีขาวลายดอกกล้วยไม้เป็นเสื้อผ้าชั้นสูงของราชนิกุลในราชสำนักที่นางสวมใส่ทุกวัน ส่วนมากแล้วนางจะสวมใส่สีชมพู และสีขาวเป็นส่วนใหญ่

“คุณหนูไป๋” ม่านถัวเอ่ยเรียกนางด้วยรอยยิ้ม ซู่ซู่หันใบหน้ามองม่านถัวและนางกำนัลอีกสี่คนด้วยความสงสัย นางรู้ว่านางกำนัลเหล่านี้เป็นนางกำนัลของเยว่ชิงหวางโฮ่ว พวกนางต่างคารวะซู่ซู่โดยทันที

“คุณหนู” พวกนางทั้งสี่เอ่ยบอกพร้อมเพรียงกัน

“หวางโฮ่วมีรับสั่งสิ่งใดถึงข้าหรือ” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หวางโฮ่วมีรับสั่งให้คุณหนูไปยังตงกง เพื่อเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนไท่จื่อเจ้าค่ะ” นางกำนัลหนึ่งในสี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ในยามวิกาลเช่นนี้ หวางโฮ่วจะให้ข้าไปเล่นหมากกับไท่จื่อในตงกงหรือ ในตงกงไม่มีผู้คนเล่นหมากล้อมกับพระองค์แล้วหรือ” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พวกเราไม่ทราบเจ้าค่ะ หวางโฮ่วมีพระเสาวนีย์มาเช่นนี้เจ้าค่ะ หม่อมฉันต้องทำตามที่หวางโฮ่วรับสั่งเจ้าค่ะ” นางกำนัลหนึ่งในสี่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“เราไปกันเลย” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“เชิญอาบน้ำก่อนเจ้าค่ะ พวกเราได้เตรียมน้ำร้อนให้คุณหนูได้อาบแล้วเจ้าค่ะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มปิดบังไม่มิด

“ทำไมต้องอาบน้ำด้วย ข้าเองก็พึ่งอาบไปเมื่อเช้านี่เอง อีกอย่างข้าเพียงไปเล่นหมากล้อมกับพระองค์แค่นั้น” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อย่าถามเลยเจ้าค่ะ พวกเจ้าพาคุณหนูไปอาบน้ำเถิด” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยเสียงตื่นเต้นดีใจ จนออกหน้าออกตา

“พวกเจ้าจะทำอะไร” ซู่ซู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจที่นางกำนัลกำลังปลดเสื้อผ้าของนางออกทีละชิ้น

“รีบอาบน้ำเถิดเจ้าคะ เดี๋ยวน้ำจะเย็นเอา” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่เหล่านางกำนัลเปลื้องผ้าของซู่ซู่จนเปลือยเปล่าไม่เหลือเสื้อผ้าสักชิ้นบนร่างกาย

เหล่านางกำนัลพานางก้าวเดินไปนั่งในอ่างน้ำที่ทำมาจากไม้จันทน์ขาว นางกำนัลสองคนโปรดกลีบกุหลาบสีแดงลงไปในอ่างน้ำ และเทน้ำหอมอุ่นๆ ลงไป กลิ่นของน้ำหอมช่างหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้องนอนของนาง นางกำนัลอีกคนใช้ผ้าเช็ดถูบนเรือนร่างของนาง

ซู่ซู่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมนางต้องไปเล่นหมากกับไท่จื่อในยามวิกาลนี้ นางคิดแล้วคิดอีกคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่าเป็นเพราะเหตุใดที่เยว่ชิงหวางโฮ่วให้นางไปหาไท่จื่อ

หลังจากนางกำนัลพาไป๋ซู่ซู่อาบน้ำเสร็จสิ้นแล้ว นางกำนัลสวมนำชุดสีขาวถักทอด้วยผ้าไหมลายดอกกล้วยไม้สีเทาขอบชุดคลุมเป็นขนของสุนัขจิ้งจอกสีขาว ใบหน้างดงามแต่งแต้มริมฝีปากสีดอกท้อ บนหัวของนางสวมใส่เครื่องหัวรัดเกล้าเงิน โดยมีไข่มุกประดับอยู่ในชิ้นเดียว ผมที่เหลือปล่อยทิ้งลงมาด้านหลังครอบรัดผมด้วยเงินลายกล้วยไม้ เพราะว่าเป็นช่วงไว้ทุกข์จึงสวมใส่สีขาวและสีดำ แต่เสื้อผ้าและเครื่องหัวที่นางสวมใส่ช่างสง่างามยิ่งนัก นางกำนัลมองซู่ซู่ด้วยความตกตะลึงในความงามของนาง พวกนางไม่เคยเห็นหญิงใดงดงามเท่านางที่อยู่ตรงหน้ามาก่อนเลย

“งดงามยิ่งนักคุณหนู” ม่านถัวเอ่ยชมซู่ซู่ด้วยรอยยิ้ม สายตามองนางด้วยความชื่นชม

“ทำไมต้องแต่งตัวให้ข้าเช่นนี้” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัยทอดสายตามองตัวเองในกระจกเงา

“หวางโฮ่วมีรับสั่งเช่นนี้เพคะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“ข้าจะไม่ถามให้มากความ” ซู่ซู่เอ่ยบอกและถอนหายใจ เพราะนางไม่รู้ว่าทำไมเยว่ชิงให้นางไปตงกงเพื่อเล่นหมากล้อมกับจ่างซุนอู๋จี้ในยามวิกาลเช่นนี้ อีกทั้งเยว่ชิงให้นางแต่งตัวด้วยชุดตัวเดียว ซึ่งชุดที่ใส่ทุกวันประกอบไปด้วยเสื้อผาว และกระโปรง แล้วค่อยสวมใส่ชุดตัวนอก และเสื้อคลุมทำมาจากหนังสัตว์เพื่อให้อบอุ่น

นางกำนัลสาวของเจียวฟางกงก้าวเดินเข้ามาคารวะซู่ซู่ ซู่ซู่จึงคารวะนางด้วยเช่นกัน รวมถึงม่านถัวที่เป็นสาวใช้ของนาง

“คุณหนูไป๋ หวางโฮ่วให้มาตามท่านไปตงกงเจ้าค่ะ” นางกำนัลสาวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“กลับไปบอกหวางโฮ่วว่าข้ากำลังไป พรุ่งนี้ข้าจะไปถวายบังคมแต่เช้า” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน และนอบน้อม

“เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลเอ่ยบอกซู่ซู่ด้วยรอยยิ้ม แล้วก้าวเดินออกจากเรือนไม้เถาฮวา

“ไปกันเถอะ” ซู่ซู่เอ่ยบอกม่านถัวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel