บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 น้ำหยดลงหิน

ไป๋ซู่ซู่นั่งรถม้ามายังตงกงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวงและไกลจากเจียวฟางกงอยู่มาก นางจำต้องนั่งรถม้าหวางโฮ่วซึ่งใหญ่พอๆ กับรถม้าของต้าหวาง และสามารถนั่งได้ถึงหกคน ขับเคลื่อนด้วยม้าสี่ตัว

ซู่ซู่ก็ยังคงเก็บความสงสัยว่า เพราะเหตุใดต้องมาตงกงตามคำสั่งหวางโฮ่ว นางมาเพื่อเล่นหมากล้อมกับไท่จื่อแค่นั้นจริงๆ หรือ หรือว่ามีความนัยแอบแฝงในการนี้

ทหารและขันทีหน้าตงกงก้มคำนับนาง ขันทีนำบันไดมาวางทางลงรถม้า ม่านถัวจับมือเรียวประคองซู่ซู่ก้าวลงมาจากรถม้า นางยังเห็นขันทีคนสนิทของไท่จื่อคำนับนางด้วยท่าทีนอบน้อม ม่านถัวเองก็คำนับขันทีผู้นี้ก่อนหน้านั้นแล้ว

“ข้าชื่อหวังเตอ ขันทีของไท่จื่อ ข้าจะพาคุณหนูไป๋ไปรอไท่จื่อในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ เชิญขอรับ” หวังเตอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แล้วผายมือให้นางก้าวเดินนำก่อน แล้วเขาก้าวเดินเยื้องไปด้านข้าง นางก้าวเดินตามเขาไปพร้อมกับม่านถัว

ซู่ซู่ก้าวเดินเข้าระเบียงคดตามที่หวังเตอบอก นางทอดสายตามองสวนขนาดใหญ่ แต่ไม่ใหญ่เท่าสวนของเจียวฟางกงที่มีคนสวนมากกว่าสิบคน จนมาถึงเรือนกลางที่ประทับของไท่จื่อภายในตงกงเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งภายในตงกงมีเรือนอีกหลายร้อยหลัง เรือนบางหลังก็ไม่มีคนอยู่

ซู่ซู่ก้าวเดินเข้ามาในเรือนตงหยางที่เชื่อมกับหลายห้อง ทั้งห้องทรงงาน และห้องนอน เมื่อนางก้าวเดินเข้ามาในห้องโถง นางทอดสายตามองไปยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ และจอกเหล้าสองจอก นางพอจะเดาได้ว่าหวางโฮ่วประสงค์สิ่งใด

นางจึงหันหลังมายังประตูอีกครั้ง ขันทีปิดประตูลงทันที และหน้าต่างในตำหนักเองก็ปิดลงทุกบาน

มาถึงตอนนี้ นางพึ่งรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกให้มาถวายตัวให้ไท่จื่อ ถึงไท่จื่อจะมีรูปโฉมงดงาม แต่นางยังไม่ปรารถนาจะถวายตัวให้เขาในยามนี้ ด้วยนางและเขายังไม่เคยรู้จักกันเลย ถึงจะได้พบเจอกันครั้งเดียวก็ตามที

มันไม่ถูกครรลองครองธรรม

“ทำไมเจ้ามาหาข้าที่นี่”

เสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงสงสัย นางจึงหันไปมองชายหนุ่มที่นางได้พบเจอในเจียวฟางกง เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือ จ่างซุนอู๋จี้ไท่จื่อ นางกลับสงสัยว่าทำไมเขาไม่รู้ว่านางมาตามคำสั่งของเยว่ชิงหวางโฮ่ว แต่นางเก็บความสงสัยไว้ก่อน

“ไท่จื่อ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใช้มือขวาทับมือซ้ายจรดหัวถวายบังคมเขาด้วยความนอบน้อม เขามองใบหน้าของนางที่เงยขึ้นมา เขามองนางด้วยความตกตะลึงในความงามของนางไม่มีที่ติ ถึงเขาจะพบเจอนางเมื่อตอนไปยังเจียวฟางกงแล้วก็ตามที แต่เมื่อนางสวมใส่ชุดสีขาวและเครื่องหัวมากชิ้น ทำให้นางดงามมากกว่าเดิมราวกับว่านางเป็นเทียนเฟยบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

“ไท่จื่อ หม่อมฉันมาตามคำสั่งของหวางโฮ่ว เพื่อมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนพระองค์” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“เช่นนั้นหรือ” เขาเอ่ยบอกด้วยความงวยงง เพราะว่าไม่มีใครมาแจ้งเขาว่านางจะมาหาเขาในค่ำคืนนี้ อาจเป็นเพราะเหนียงชินของเขาต้องการให้นางได้ถวายตัวก็เป็นได้

“เช่นนั้นแล้วหม่อมฉันขอกลับเรือนไม้เถาฮวา” นางเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วหันหลังเพื่อจะเดินไปยังประตูใหญ่

“เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่า ตำหนักถูกปิดทุกบาน” เขาเอ่ยบอกเช่นนี้ ทำให้นางรู้ว่าเขาเสแสร้งว่าไม่รู้ว่าหวางโฮ่วสั่งให้เขาอยู่กับนาง

“เจ้าจะไม่ถามข้าหน่อยหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“หม่อมฉันมิบังอาจ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางกลับรู้สึกได้ว่ามือหนาแตะบนไหลของนาง นางจึงหมุนตัวกลับมาหาเขา เขาดันนางนั่งลงบนตั่งนอน ทำให้นางรู้สึกกลัวเมื่ออยู่กับเขาเพียงลำพัง มิหนำซ้ำเขายังเอาเครื่องหัวของนางออกทีละชิ้น โยนใส่พานข้างเตียงนอนซึ่งเป็นที่วางรัดเกล้าของเขา

“หม่อมฉันทำเองได้เพคะ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาได้ยินน้ำเสียงของนางที่แผ่วเบาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว มีหรือว่าเขาอ่านสีหน้าท่าทางของนางไม่ออก

“เจ้ามาอยู่ในวังได้กี่เดือนแล้ว” เขาเอ่ยถามนางเพื่อให้นางลดความกลัวในใจของนาง ทั้งที่เขาคิดอยากจะเสพสังวาสนางยิ่งนัก เมื่อมองนัยน์ตาหวานปนเศร้าที่ไม่กล้าสบตาเขาช่างยั่วเย้าใจเป็นยิ่งนัก

“ประมาณห้าเดือนแล้วเพคะ” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของเมืองลี่ ข้าได้ส่งกองทัพบุกแคว้นหาน กำลังไล่ตีฝ่าเข้าหัวเมืองต่างๆ อีกสองเดือนข้างหน้า ข้าเองจะนำทัพไปสมทบอีกครั้ง” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ขอบพระทัยเพคะ” นางเอ่ยบอกด้วยความซาบซึ้งใจยิ่งนักที่เขายังคิดยกทัพไปตีแคว้นหานที่บุกโจมตีสังหารคนในเมืองจนหมดสิ้น แม้กระทั่งผู้หญิงและเด็กมันก็ไม่ละเว้น ภาพนั้นติดตาของนางจนทุกวันนี้ไม่เคยลืมเลือน

“ข้าจะพาเจ้าไปนอน” เขาเอ่ยบอกเช่นนี้ นัยน์ตาทั้งสองข้างมองนางเต็มไปด้วยความเสน่หาท่วมท้น เขาใช้มือปลดสายคาดเอวออก แต่นางจับปมเอาไว้ เขาจึงหยุดการกระทำนั้นโดยทันที และลุกขึ้นยืน

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการข้า ข้าจะไปนอนที่ห้องหนังสือ” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หยิบหมอนสี่เหลี่ยมเพียงชิ้นเดียวไว้ในมือ

“ไท่จื่อ...”

“เจ้านอนเถิด” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ แล้วเดินออกไปทันที โดยไม่หันกลับมามองนางอีกเลย

การกระทำของเขาทำให้นางรู้สึกผิดอย่างยิ่งทั้งที่นางต้องถวายตัวให้เขาในค่ำคืนนี้ตามความต้องการของหวางโฮ่ว แต่นางเลือกที่จะไม่ถวายตัวให้เขา มิหนำซ้ำเขายังไปนอนห้องหนังสือ ส่วนนางบนตั่งเตียงของเขาในตอนนี้

เยว่ชิงหวางโฮ่ว นางยังเป็นหวางโฮ่ว ขณะที่จ่างซุนเซี่ยได้สิ้นไปแล้ว แต่ทว่านางยังดำรงตำแหน่งนี้อยู่จนกว่าจ่างซุนอู๋จี้จะครองราชย์สมบูรณ์แบบตามกฎมนเทียรบาล นางรับผ้าเช็ดหน้าจากเจาเหยานางกำนัลคนสนิทของนาง

“เมื่อคืนเป็นเช่นไรบ้าง” เยว่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ทูลหวางโฮ่ว เมื่อคืนไท่จื่อเสด็จไปบรรทมที่ห้องหนังสือเพคะ” เจาเหยาเอ่ยบอกเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น” เยว่ชิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนางรู้ว่าอู๋จี้จะต้องนอนกับหญิงสาวทุกค่ำคืน ถ้าเขาไม่นอนกับพวกนางเขาจะฝันร้ายและเป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป

“หม่อมฉันไม่ทราบรายละเอียดมากนักเพคะ เห็นว่าไท่จื่อเสด็จเข้าท้องพระโรงแต่เช้า ไม่ตรัสสิ่งใดกับหยางจื่อและหวังเตอแม้แต่คำเดียวเพคะ” นางกำนัลเอ่ยบอกเช่นนี้

“จี้เอ๋อร์คงไม่ได้ฝันร้ายนะ” เยว่ชินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“หม่อมฉันมิทราบเพคะ” นางกำนัลเอ่ยบอก

“ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พวกเขาสองคนยังอยู่ด้วยกันอีกนาน” เยว่ชินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหนึ่งคำ

“เพราะเหตุใดหวางโฮ่วจึงอยากคุณหนูไป๋ถวายตัว” เจาเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ซู่ซู่ควรได้เป็นหวางโฮ่ว ไม่ใช่ว่านางเป็นที่รักของข้า แต่เป็นเพราะข้าดูออกว่าจี้เอ๋อร์ต้องการนางเพียงใด สายตาที่จี้เอ๋อร์มองนาง เหมือนที่อดีตต้าหวางมองข้าครั้งแรก และทำให้ข้าได้อยู่กับอดีตต้าหวางจนวันสุดท้ายของพระองค์ และข้าคิดว่าข้ามองคนไม่เคยพลาด นางต้องเป็นหวางโฮ่วตามที่ข้าทำนายไว้อย่างแน่นอน” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าไท่จื่อพึงใจก็ไม่แปลก เพราะคุณหนูไป๋งดงามสมกับเป็นลูกสาวขุนนาง และยังมีกิริยางดงามอีกด้วย” เจาเหยาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าอยากให้พวกเขาทั้งสองคุ้นเคยกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาทั้งสองได้กันตั้งแต่เมื่อคืนเลย” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดของนางทำให้เจาเหยากั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่อยู่

“หวางโฮ่ว” เจาเหยาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน

“ข้าพูดจริงๆ นะ อีกอย่างหนึ่งในวังหลวงอันตรายรอบด้าน การแก่งแย่งชิงดีทั้งในหมู่ผิงเฟย เพื่อได้เป็นหวางโฮ่ว ตอนนี้สิ่งที่ข้าหนักใจที่สุดก็คือ จี้เอ๋อร์ไม่ยอมมีลูกกับใครเลย เมื่อเขาเสพสังวาสกับพวกนางเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะให้พวกนางกินยาขับร้อน เพื่อไม่ให้พวกนางตั้งครรภ์ข้าเองก็เคยตำหนิเรื่องการมีลูกกับพวกนางแล้ว พูดไปก็เท่านั้น พูดหูซ้ายทะลุหูขวา” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหนักใจ แล้วทอดสายตามองไปยังตงกงที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับของไท่จื่อทุกๆ พระองค์

เยว่ชิงถอนหายใจด้วยความหนักใจที่จ่างซุนอู๋จี้ไม่ยอมให้ใครท้องแม้แต่คนเดียว ผิงเฟยคนใดได้นอนกับเขา เช้าวันต่อมาเขาจะบังคับให้ผิงเฟยคนนั้นดื่มยาขับร้อนเพื่อไม่ให้ตั้งครรภ์ เยว่ชิงเคยถามเรื่องนี้กับอู๋จี้บ่อยครั้งว่าเหตุใดต้องให้พวกนางกินยาขับร้อนด้วย เขาบอกกับนางว่า พวกนางไม่ได้รักเขาจากใจจริง พวกนางต้องการฐานอำนาจให้ตระกูลเพื่อให้ตระกูลมีชื่อเสียงนับหน้าถือตา และพวกนางเหล่านั้นอยากที่จะก้าวขึ้นสู่เป็นหวางโฮ่ว เพื่อความมั่นคงของตัวเองหลังจากที่เขาตายไปแล้ว

เขาจึงเลือกที่จะไม่แต่งตั้งใครเป็นไท่จื่อเฟย ทั้งที่นางเคยเลือกผู้หญิงให้แต่งงานด้วยก็ตาม เขาจะหาข้ออ้างออกไปรบกับเหล่าขุนทหาร ยึดชนเผ่านั้นที ยึดเมืองนี้ที บีบบังคับมากๆ เขาก็หายไปสองถึงสามปี จนนางและอดีตต้าหวางถอดใจที่จะมอบงานอภิเษกให้เขา

แต่ถ้าจี้เอ๋อร์ได้กับซู่เอ๋อร์ แล้วให้นางดื่มยาขับร้อน ข้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน

ไป๋ซู่ซู่ลืมตาตื่นขึ้นมา นางมองไปยังตั่งเตียงที่ว่างเปล่า เพราะจ่างซุนอู๋จี้ไปนอนที่ห้องหนังสือ ทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่เขาไปนอนห้องหนังสือ ส่วนนางมานอนห้องนอนของเขาเช่นนี้

นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ทอดสายตามองผ่านม่านไหวๆ เห็นเหล่านางกำนัลทั้งสี่นั่งอยู่บนพื้นตำหนักรวมไปถึงหลี่ม่านถัวที่นั่งคอยรับใช้นางอยู่ด้วยเช่นกัน

“ม่านถัว ม่านถัว” ซู่ซู่เอ่ยเรียกม่านถัว ม่านถัวจึงก้าวเดินเข้ามา พร้อมกับนางกำนัลและขันทีอย่างละหนึ่งคน นางกำนัลสาวในมือของนางถือถาด ในถาดมีอ่างล้างหน้า และผ้าขาวเช่นทุกวัน ส่วนขันทีหนุ่มถืออ่างไว้บ้วนปาก

“เพคะ ไป๋ฟูเหริน” ม่านถัวและเหล่าข้าหลวงเอ่ยบอกพร้อมกัน หลังจากถวายบังคมแล้ว ทำให้ซู่ซู่รู้สึกแปลกใจและตกใจในเพลาเดียวกัน ที่ม่านถัวและพวกเขาเอ่ยเรียกนางเช่นนี้ อีกทั้งนางเองก็ยังไม่ได้ถวายตัวเสียด้วยซ้ำ

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” ซู่ซู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ยินดีด้วยเพคะ ไท่จื่อพระราชทานตำแหน่งฟูเหรินให้กับท่าน อีกไม่ช้าหวังเตอจะทำพระราชโองการแต่งตั้งมาถวายให้ฟูเหริน” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วส่งถ้วยน้ำให้นางบ้วนปาก เมื่อนางบ้วนปากเสร็จสิ้นส่งผ้าให้นางเช็ดหน้า ซู่ซู่ทอดสายตามองไปยังนางกำนัลสาวและขันทีอีกคนที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“แล้วพวกเขาสองคนเป็นใคร ข้าไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อน” ซู่ซู่เอ่ยถามนางม่านถัวด้วยความสงสัย และขันทีหนุ่มที่ยืนอยู่

“นางคืออ้วนเสี้ยว และรุ่ยอัน พวกเขาทั้งสองเป็นนางกำนัลและขันทีที่ไท่จื่อส่งมาให้ดูแลฟูเหรินเพคะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม รุ่นอันและอ้วนเสี้ยวนั่งลงคุกเข่าโดยพร้อมเพรียงกัน ใช้มือขวาทับมือซ้ายระหว่างอก

“หม่อมฉันอ้วนเสี้ยว / หม่อมฉันรุ่ยอัน ขอรับใช้ไป๋ฟูเหรินด้วยความซื่อสัตย์และภักดีตลอดไป” อ้วนเสี้ยวและรุ่ยอันเอ่ยบอกพร้อมกันและถวายบังคมบนพื้นตำหนัก

“ฝากไปทูลไท่จื่อว่า ข้าไป๋ซู่ซู่ขอบพระทัยมากที่พระองค์เมตตา” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“เพคะ” ม่านถัวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ไป๋ซู่ซู่ทอดสายตาไปยังข้างหลังตั่งเตียงตรงปลายตั่งเตียง นางเห็นฟูกนอนพับเอาไว้อย่างดี ทั้งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางคิดว่าม่านถัวคงมานอนเช่นทุกคืนเป็นแน่ แต่อาจเก็บไม่เรียบร้อย

ไป๋ซู่ซู่สวมใส่ชุดสีขาวทั้งตัว และสวมใส่เครื่องหัวน้อยชิ้นที่ทำมาจากเงิน เพราะยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่ นางก้าวเดินเข้ามาในเจียวฟางกงทอดสายตามองเข้าไปในห้องโถงของตำหนัก เยว่ชิงหวางโฮ่วยังไม่ออกมาที่ห้องโถง

นางจึงยืนรอเยว่ชิงหวางโฮ่วไม่นาน เยว่ชิงก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับนางกำนัลและเหล่าขันทีที่เดินตามกันออกมา พร้อมเสียงเอ่ยบอกของขันที

“หวางโฮ่วเสด็จแล้ว” ขันทีเอ่ยบอกจบ ซู่ซู่เหล่านางกำนัลและขันทีจำนวนสามคนนั่งลงคุกเข่าถวายบังคมด้วยเช่นกัน

“หวางโฮ่ว”

“ตามสบายซู่เอ๋อร์” หวางโฮ่วเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม ซู่ซู่เงยหน้าขึ้น นางกำนัลนำเบาะมาวางตรงหน้าของนาง นางจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งคุกเข่า

“เมื่อคืนเป็นเช่นไรบ้าง” เยว่ชิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตรา

“หม่อมฉันกับไท่จื่อนอนแยกกัน พระองค์เสด็จไปประทับนอนที่ห้องหนังสือ ส่วนหม่อมฉันนอนในห้องบรรทม เราสองคนยังไม่ได้มีอะไรกันเพคะ” ซู่ซู่เอ่ยถามความจริงที่เกิดขึ้น

“คืนนี้กลับไปนอนที่ตงกงเช่นเดิมนะ” เยว่ชิงเอ่ยบอก แล้วรับถ้วยน้ำชาจากเจาเหยามาดื่มหนึ่งคำช้าๆ ซู่ซู่เลยเอ่ยท้วงขึ้นมา

“แต่ว่าหม่อมฉัน...”

“ซู่เอ่อร์เจ้าจะขัดคำสั่งข้าหรือ” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หม่อมฉันมิกล้า” ซู่ซู่เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ซู่เอ๋อร์เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน” เยว่ชิงเอ่ยบอก

“หม่อมฉันทูลลา” ซู่ซู่เอ่ยบอกและถวายบังคมพร้อมกับเหล่าข้าหลวงของนาง นางลุกขึ้นยืนโดยมีม่านถัวประคอง แล้วก้าวเดินออกไป เจาเหยารับถ้วยน้ำชาจากเยว่ชิง

“หวางโฮ่วทำไมต้องฝืนใจนางด้วยเพคะ ในเมื่อไท่จื่อมีผิงเฟยมากมายหลายสิบคน” เจาเหยาเอ่ยถามเยว่ชิงด้วยความสงสัย

“นางคือคนที่อู๋จี้ต้องการ และอู๋จี้ก็ไม่บังคับฝืนใจนางที่จะหลับนอนด้วย ถ้าเป็นคนอื่นคงแทบอยากจะถวายตัวโดยไม่คิดขัดขืน เพราะพวกนางหวังเป็นคนโปรด แต่ซู่เอ๋อร์กลับไม่ใช่ นิสัยของนางไม่ต่างจากไป๋เค่อ เตี่ยของนางแม้แต่น้อย” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

“น้ำหยดลงหิน หินก็ยังกร่อน ข้าอยากจะรู้ว่าซู่เอ๋อร์จะใจแข็งไปได้กี่น้ำ” เยว่ชิงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel