บทที่ 6 เตรียมออกรบ
ความฉลาดเฉลียวของเขาคู่ควรกับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่อย่างไม่มีข้อกังขา แม้แต่อาจารย์ที่ฝึกสอนมาตั้งแต่ยังเยาว์ก็ยังพูดเสมอว่าบุรุษผู้นี้มีเชาวน์ปัญญามากกว่าผู้สอนเสียแล้ว ทุกคนในที่นั้นยังต้องตกลงเรื่องจำนวนทหารที่จะเกณฑ์เข้ากอง และมีความเห็นตรงกันว่าจะเรียกเพียงรอบเดียว ไม่มีการเรียกเพิ่ม เน้นเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วก่อนเหมันต์จะมาเยือน
เมื่อเสร็จสิ้นองค์ประชุมแล้วเรียบร้อย ทั้งแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพก็เดินออกมาพร้อมกัน ทั้งสองไม่พูดเรื่องการสู้รบที่กำลังจะมาถึง เพราะอยากจะรักษาบรรยากาศอันปลอดโปร่งไร้เรื่องระคายใจเอาไว้บ้าง หลังจากต้องคร่ำเคร่งมาทั้งวัน
“เจ้าจะไปที่ใดต่อ”
“ข้าอยากไปตำหนักเล็ก”
ทั้งสองเอ่ยออกมาพร้อมกัน แล้วก็เป็นเซียวซีที่หัวเราะเสียงดัง เขารู้อยู่แล้วว่าเฉิงอี้จะถาม เช่นเดียวกับที่เฉิงอี้ก็รู้ว่าชั่วขณะที่เซียวซีทำหน้าครุ่นคิด ต้องกำลังคิดเรื่องเที่ยวเล่นเป็นแน่
“ตำหนักนอกเมืองหรือ”
“ตำหนักที่พายเรือเล่นได้”
“แล้วเจ้าจะอยากพายเรือไปไย”
“ท่านต่างหาก คนที่ต้องพาย” เซียวซีตอบหน้าระรื่น ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาเอ่ยคัดค้าน “จื่อเว่ย เตรียมรถม้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” จื่อเว่ยรับคำแข็งขัน วิ่งหายไปตามทางเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งทันที
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะพายให้เสียหน่อย”
“ท่านต้องทำอยู่แล้ว เพราะระหว่างที่ล่องเรือ ข้าจะคิดเรื่องราชการแผ่นดิน หากท่านไม่ทำตามที่ข้าสั่ง เท่ากับว่าเจ้ากำลังขัดขวางการปฏิบัติพระราชกรณียกิจขององค์ชายอยู่”
“ฮึ” เขาทำเสียงในลำคอ ไม่ได้หวั่นเกรงโทษจากการขัดขวางการปฏิบัติพระราชกรณียกิจใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เวลาเห็นเซียวซีเอาแต่ใจตน มันเตือนให้เขานึกถึงวันแรกที่ทั้งคู่ได้เจอกัน
เขาถูกแนะนำว่าเป็นอ๋องน้อยที่จะมาเป็นพระสหายขององค์ชาย ยามนั้นเซียวซีดูเป็นเด็กนิ่งเงียบ แต่แฝงความดื้อดึงแสนซนเอาไว้ องค์ชายน้อยยินดีกับการได้พระสหายใหม่และเริ่มออกคำสั่งให้เขาตามไปเล่นด้วยทันที แต่เขาเองก็มียศไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งยังชินกับการออกคำสั่งผู้อื่น เขาจึงไม่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ
ในช่วงแรก เซียวซีใช้วิธีขู่บังคับ แต่ไม่ได้ผลเท่าใดนัก หลัง ๆ มาก็ใช้การขอร้องแกมมัดมือชก โดยยกเสด็จพ่อของตนเองมาอ้าง หากจะให้ความเป็นธรรมเซียวซีสักหน่อย เขาเองก็ต้องยอมรับว่าเมื่อหลวมตัวยอมไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมต้องยอมตลอดไป ทั้งคู่เคยแอบไปพายเรือด้วยกันมาแล้วเมื่อได้สิบขวบปีเท่านั้น พอฮ่องเต้รู้เข้าก็กริ้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตของพวกเขาทั้งสอง ล้วนแต่เป็นเรื่องต้องห้ามทั้งสิ้น
แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมา พวกเขากลับถูกส่งไปสนามรบ สถานที่เสี่ยงชีวิตมากที่สุดแห่งหนึ่งในปฐพี
เฉิงอี้ไม่ได้จะโอดครวญแต่อย่างใด ผู้อยู่ในตำแหน่งอันยิ่งใหญ่เช่นเขาจะมาโอดครวญกับหน้าที่เพื่อส่วนรวมได้เยี่ยงไร เพียงแต่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องย้อนแย้งกันก็เท่านั้น เซียวซีเองก็เคยบอกว่าหากรู้ว่าจะได้เสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ ตอนยังเด็กน่าจะแอบเล่นอะไรแผลง ๆ สนุก ๆ ให้มากกว่านี้เพื่อเป็นการชดเชยช่วงเวลาขมขื่นของการเป็นผู้ใหญ่
“คิดอะไรอยู่หรือ”
“คิดว่าเจ้าช่างใช้ชีวิตได้สำราญจนน่าหมั่นไส้” เฉิงอี้ตอบ
อีกฝ่ายพ่นลมหายใจ เบือนหน้ามองออกไปทางนอกหน้าต่างที่มีความงดงามของชนบทแผ่อยู่เบื้องหน้า
“เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าโลกกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราซึ่งเป็นมนุษย์จะถูกขังอยู่ในกรอบเล็ก ๆ แล้วตายจากไปทั้งที่ยังไม่ได้เห็นความมหัศจรรย์อีกมากมาย”
“เจ้าพูดราวกับพวกพเนจร”
“ท่านช่างตื้นเขินเสียจริง” เซียวซีตำหนิ
“งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เหมือนกับพวกท่องยุทธภพ”
เซียวซีถอนหายใจอีกรอบ ยกมือทาบกับบานหน้าต่างรถม้าด้วยความหงอยเหงา “จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าพวกพเนจรหรือชาวยุทธ์ล้วนแล้วแต่มีอิสระกว่าข้ามากนัก”
“ไม่น่าเชื่อประโยคนี้ตรัสโดยองค์ชายที่เป็นโอรสองค์โปรดของฮ่องเต้ ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า”
“ท่านก็รู้ว่าข้าหมายความเช่นไร”
“ข้ารู้” เฉิงอี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องเข้าไปในดวงตาสะท้อนประกายแห่งความอัดอั้นตันใจ “ข้ารู้ดีว่าเจ้าอยากเป็นอิสระเพียงใด เพียงแต่ว่าบางครั้งชะตาก็ลิขิตในสิ่งที่เรามิได้ร้องขอ”
“แต่หากท่านมีโอกาส ท่านจะไม่อยากหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่นี้หรือ”
คำถามนั้นมีนัยสำคัญแฝงอยู่ ด้วยสถานะของทั้งสองคน ความลับอันเป็นสิ่งต้องห้ามที่ต่างเก็บงำเอาไว้และบทบาทภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ทำให้พวกเขาได้แต่วาดฝันถึงคืนวันที่จะได้หลุดไปจากสิ่งที่กักขังตัวเองเอาไว้ แต่สำหรับตอนนี้ก็ทำได้เพียงเก็บซ่อนมันเอาไว้ในดวงตาแห้งผากมืดหม่น
“อยากสิ”
รถม้าจอดสนิทหน้าตำหนักเล็กนอกเมืองหลวง ข้าราชบริพารที่มีอยู่น้อยนิดกรูกันออกมาต้อนรับ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายและท่านอ๋องที่มักจะใช้เวลาส่วนตัวด้วยกันเป็นประจำ ทุกคนก็เร้นกายกลับเข้าไปในมุมมืดให้พ้นหูพ้นตา เซียวซีตรงลิ่วไปยังริมแม่น้ำที่อยู่ติดกับตำหนักทางด้านหลัง ท่าเรือไม้เริ่มผุพังมีเรือผูกเอาไว้หลวม ๆ เขานิ่วหน้ามอง ตระหนักว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้แวะเวียนมา
“เดินระวัง ๆ หน่อย” เฉิงอี้ออกปากเตือน ถลาเข้ามาจับแขนองค์ชายเอาไว้
“สงสัยต้องสั่งให้คนดูแลที่นี่ดีกว่านี้ ดูสิ มีทั้งดอกหญ้าทั้งตะไคร่”
“ก็ใครจะมาพายเรือในตำหนักซอมซ่อเช่นนี้ เหล่าพระสนมอยากจะไปพระราชวังฤดูร้อนกันทั้งสิ้น” เขาแหวกกอหญ้าข้างพงน้ำ ดึงเรือเข้ามาสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะยื่นมือให้เซียวซีใช้เกาะเพื่อลงเรือเหมือนทุกที
องค์ชายก้าวลงเรือด้วยความคล่องแคล่ว เขาปลดเชือกที่ผูกเอาไว้กับเสาต้นเล็ก จับไม้พายแล้วดันเรือออกจากฝั่ง ค่อย ๆ จ้วงพายลงไปในน้ำเป็นจังหวะ เรือแล่นออกจากฝั่งอย่างเชื่องช้า ฝีพายของเขาเอื่อยเฉื่อยรับลมเย็นยามบ่ายแก่ พงหญ้าที่เริ่มขึ้นสูงรวมถึงต้นไม้ริมน้ำช่วยอำพรางสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนภายนอก เซียวซีเอนตัวลงนอนแผ่นหลังแนบไปกับท้องเรือ ศีรษะอยู่ห่างจากตักเขาไปไม่ถึงคืบ เปลือกตาปิดสนิทหนีลำแสงที่ส่องลอดใบไม้ลงมากระทบผิวหน้า
เฉิงอี้ก้มมองใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของสหาย เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว จึงลืมตาขึ้นเชื่องช้ามาสบตากับเขา ก่อนจะขยับศีรษะเลื่อนขึ้นมาหนุนตักแล้วหลับตาลงเช่นเดิม ชั่วขณะนั้น เฉิงอี้ก็ปรารถนาอยากให้กาลเวลาหยุดเคลื่อนไหว