บทที่๓...ถักใยทอรัก (๒)
หล่อนตื่นตระหนกไม่คิดว่าจะโดนอุ้มแล้วเขาขึ้นคร่อมอย่างนี้ มันคงไม่แปลกสำหรับสามีภรรยา แต่เธอไม่ใช่ภรรยาของเขา
“คุณเตชน์ จะทำอะไรคะ” พูดแล้วก็คิดว่าตนเองเป็นนางเอกละครหลังข่าว ผู้ชายขึ้นคร่อมขนาดนี้คงชวนเล่นกระโดดเชือกมั้งตาล
“ทำเรื่องที่เราค้างกันไง” สมองประมวลผลเพื่อหาข้ออ้างทันที เธอจะไม่ยอมเสียตัวให้เขาเด็ดขาด อย่างไรอีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อว่าพี่เขย ถึงชลชินีต้องการจะหย่ากับเขาก็เถอะ
เหงื่อผุดซึมตามไรผม ลมหายใจติดขัดจนต้องเรียกสติตัวเองหลายครั้ง ใบหน้าคมอยู่ห่างไม่ถึงคืบเป็นอันตรายต่อหัวใจเกินไป
“แต่ว่า” พยายามเค้นหาเหตุผล ก็โดนขัดเสียก่อน
“ฉันเห็นเธอเล่นน้ำคงบอกว่าเป็นประจำเดือนไม่ได้” เม้มปากแน่นเมื่อโดนดักทาง หล่อนดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่แรงอีกฝ่ายมากกว่าจึงแทบไม่กระเทือน
“ฉัน.. อื้อ” ปากบางเฉียบโดนปิดด้วยจุมพิตจากร่างสูง เธออึ้งจนร่างกายชาไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้คนด้านบนทำตามอำเภอใจ
ความหวานจากปลายลิ้นทำเอาคุณหมอติดใจจนต้องควานลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากนุ่ม เกี่ยวกระหวัดอย่างอาจหาญทำให้คนใต้ร่างเริ่มรู้สึกตัว เธอดิ้นให้หลุดพ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมปล่อย
ปากนุ่มถูกดูดกลืนจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน จูบแรกก็เสียไปให้เขา จูบที่สองยังเป็นเตชน์อีก เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง จนหญิงสาวตัดสินใจทำเหมือนคืนเข้าหอคือถีบเขาออก ทว่าร่างสูงกลับรู้ทันแล้วทับขาเรียวเอาไว้จนขยับไม่ได้
ชายหนุ่มตักตวงความหวานจนพอใจจึงผละออก มองหน้าคนใต้ร่างที่แดงก่ำไม่แน่ใจว่าเขินอายหรือโกรธกันแน่
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้” จ้องตาคมนิ่งแล้วพยายามบอกเขาด้วยเหตุผล
“ทำไมจะไม่ได้ เราเป็นสามีภรรยากัน ผัวจะจูบเมียมันผิดตรงไหน” แต่เธอไม่ใช่เมียเขา!
อยากตะโกนใส่หน้าก็ทำไม่ได้ ความเข้าใจของเตชน์จะบอกว่าผิดก็ไม่ทั้งหมด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าคนที่เข้าพิธีแต่งงานและอยู่กับเขาตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือเธอ ไม่ใช่พี่หวานอย่างที่คิด
“ผิดตรงที่เราไม่ได้รักกันไงคะ การแต่งงานของเรามันคือธุรกิจ” บอกความจริงที่คนทั้งสองต้องแต่งงานกัน ทุกคนในบ้านต่างรับรู้ว่ามันคือการเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันเพราะเหตุผลทางด้านธุรกิจ ไม่ใช่ความรู้สึกรักอย่างที่ควรจะเป็น
“แต่มันเปลี่ยนได้” พึมพำอย่างเอาแต่ใจ
“ฉันไม่คิดจะอยู่กับคุณตลอดไป อีกไม่นานเราก็หย่ากัน” คำว่าหย่าของหล่อนทำให้เขาหน้าตึง ชายหนุ่มผละออกทำให้หญิงสาวรีบขยับหนีให้ห่างจากเขา แต่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง
“ใครบอกว่าฉันจะหย่า” ถามกลับเสียงเรียบ
“แล้วคุณจะอยู่แบบนี้หรือไง คุณไม่ได้รักฉัน ฉันไม่ได้รักคุณ เราไม่ได้รักกัน” หล่อนช่างรู้ใจเขาดีเหลือเกิน รู้ดีกว่าเขาซะอีก
“งั้นก็หย่าหลังจากที่สร้างโรงพยาบาลเสร็จแล้วกัน” ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่าที่พูดเรื่องนี้ เพราะหลังจากคุยจบชายหนุ่มก็ผละออกแล้วนอนหันหลังให้เธอทันที ไอเย็นแผ่รอบตัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ ต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้หย่าเร็วๆ เธออยากกลับไปอยู่ในนามชลธรจะแย่แล้ว
หลังจากวันนั้นดูเหมือนชายหนุ่มจะเหินห่างจากเธอ ซึ่งมันก็ดีแล้วเพราะชลธรเองก็ไม่ต้องการให้เตชน์มายุ่มย่าม ทว่าพอถึงวันเสาร์และพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณพินมาดาก็ต้องสงบศึกชั่วคราวเพื่อพูดคุยเรื่องการเซอร์ไพรส์
เข้ามาในห้องนอนก็เห็นคุณหมอนั่งอยู่โซฟาแล้วอ่านหนังสือ ดูเหมือนช่วงนี้งานเขาจะหนักเพราะกลับดึกตลอด บางครั้งมาถึงบ้านตีหนึ่งก็มีเพราะติดผ่าตัดที่กินเวลายาวนาน
“พรุ่งนี้คุณว่างไหมคะ พอดีฉันจะชวนไปทำขนมเค้กวันเกิดคุณแม่ค่ะ” ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แต่เคยพูดกันไว้แล้วเลยอยากถามให้แน่ใจว่าเขายังยืนยันคำเดิมไหม
“ถ้าคุณไม่ว่างไม่เป็นไรนะคะ” เห็นหมอเตชน์เงียบจึงคิดว่าเขาคงไม่อยากไป ทว่ากลับโดนขัดซะอย่างนั้น
“ว่าง จะทำที่ไหน” คำตอบผิดคาด ใครจะคิดว่าคนที่ไม่ยอมคุยกันมาตั้งสี่วันจะยอมตอบ
“ที่ร้าน..ร้านขนมของเพื่อนน้องฉันค่ะ” เกือบเผลอบอกว่าร้านเธอ ดีที่ยั้งปากไว้ได้ทันแล้วรีบกลับลำ ไม่อย่างนั้นเรื่องได้แตกแน่
“น้องฝาแฝดที่ชื่อน้ำตาลน่ะเหรอ” ชลธรไม่คิดว่าชายหนุ่มจะรู้จักเธอ เพราะแทบไม่เคยแนะนำตัวในฐานะน้องสาวของชลชินีให้รู้จักเลยสักครั้ง
“ค่ะ คุณรู้จักตาลได้ไงคะ” เข้าไปใกล้เล็กน้อยด้วยความอยากรู้
“ไม่ได้รู้จัก แค่เคยได้ยินชื่อ” นั่นสินะ เตชน์จะมารู้จักเธอได้อย่างไร ใบหน้าหวานหมองลงก่อนจะรีบไปอาบน้ำชำระกาย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงห่อเหี่ยวเช่นนี้ เธอเองก็ไม่อยากให้เขารู้จักสักหน่อย
วันหยุดพวกเขาก็ออกมาข้างนอกแต่เช้า ร่างสูงขับรถโดยมีหญิงสาวเป็นคนบอกเส้นทางจนมาถึงร้านเรนโบว์ วันนี้เธอปิดร้านจึงมั่นใจได้ว่าพนักงานจะไม่มาให้แผนแตก
ดวงตาคมสำรวจภายในเห็นว่าเป็นร้านขนาดเล็ก ประดับตกแต่งเป็นสายรุ้งเหมือนชื่อร้าน เคาน์เตอร์จะมีพื้นที่กว้างไว้สำหรับวางขนม ซึ่งวันนี้มันว่างเปล่ามีเพียงตะกร้าสานวางไว้เป็นระเบียบ
“เข้ามาในครัวดีกว่าค่ะ” เปิดห้องครัวแล้วถอดกระเป๋า หยิบเสื้อกันเปื้อนมาสวมค่อยยื่นให้คนที่เดินตามหลัง
“ใส่ผ้ากันเปื้อนด้วยค่ะ เดี๋ยวชุดเลอะ” เขาไม่ได้หยิบไป แต่เลือกจะเดินมาใกล้แล้วค้อมศีรษะให้ต่ำเกือบเท่าคนตัวเล็กกว่า
“อะไรคะ” ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ
“ใส่ให้หน่อย” ใบหน้ามนแดงแปร๊ดด้วยความเขินอาย ไม่คิดว่าคนเย็นชาจะทำเช่นนี้ เล่นเอาหัวใจสั่นไหวกับการกระทำของหมอเตชน์ ไหนจะรอยยิ้มมุมปากยามมองมาอย่างเจ้าเล่ห์นั่นอีก
เขาต้องการจะฆ่าเธอหรือไง
“ค่ะ” รีบสวมให้อย่างรวดเร็ว แล้วหันไปทำอย่างอื่น ปล่อยคุณหมอจัดการผูกเชือกให้เรียบร้อยแล้วมายืนหน้าโต๊ะตัวยาว สำรวจห้องขนาดกลางที่มีเครื่องอบขนาดใหญ่ ตู้เย็นและตู้เก็บของซึ่งวางอย่างเป็นระเบียบ
“ฉันไปสืบมาแล้วคุณแม่ชอบกินช็อกโกแลต เลยว่าจะทำเลเยอร์เค้กช็อกโกแลต” เขาพอจะรู้จักบ้างแต่ไม่เคยชิม โดยส่วนตัวไม่ชอบกินเค้กเท่าไหร่ ต่างจากมารดาที่ชอบเสียเหลือเกิน
“ทำเป็นเหรอ” พยักหน้าแข็งขัน
“ฉันเคยเรียนทำขนมค่ะ” เป็นความรู้ใหม่สำหรับเขา ไม่คิดว่าหมอสาวผู้นี้จะทำขนมเป็นด้วย
ขณะที่คนตอบก็ยิ้มค้างลืมเสียสนิทว่าอยู่ในชื่อของชลชินี และพี่สาวเธอไม่เคยเข้าครัวหรือเรียนทำขนมสักครั้ง เม้มปากแน่นเมื่อคิดว่าตนเองอาจทำให้เรื่องมันแย่ ถ้าเกิดเขารู้ความจริงว่าคนที่ชอบทำขนมคือหล่อนไม่ใช่พี่สาว..
ความแตกแน่
“ขนมทำค่อนข้างยาก เดี๋ยวคุณช่วยร่อนแป้งแล้วกันนะคะ” เตรียมของทั้งหมดมาวางบนโต๊ะกลางขนาดใหญ่ ร่างสูงมองตามแล้วเริ่มคิดว่ามันไม่น่าง่ายเหมือนการผ่าตัดที่ตนคุ้นเคย
“ทำไมเตรียมของเยอะ” ทั้งวัตถุดิบและอุปกรณ์ชวนให้สงสัย ที่จริงเตชน์ไม่เคยเข้าครัวเลยสักครั้ง อยู่บ้านก็มีแม่บ้านทำอาหารมาเสิร์ฟ ไปเรียนต่อต่างประเทศก็เข้าร้านอาหารตลอด หรืออย่างมากก็แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินในเวลาอันยุ่งเหยิง
“มีหลายขั้นตอนค่ะ อุปกรณ์เลยเยอะตามไปด้วย” เมื่อวานหล่อนซื้อวัตถุดิบทุกอย่างมาเตรียมไว้แล้ว
“ร่อนแป้งใช่ไหม” เธอเตรียมอุปกรณ์ให้เขาส่วนตนก็หลีกมาทำไส้ครีม คิดว่าอาจจะใช้เวลาอย่างต่ำห้าชั่วโมงเพื่อความสวยงามของตัวเค้ก
ทว่าพอเห็นการร่อนแป้งของร่างสูง หล่อนก็คิดว่าคงคาดหวังมากเกินไป ไม่รู้ทั้งวันจะเสร็จหรือเปล่า
“เอ่อ คุณเตชน์คะ เดี๋ยวฉันสอนก่อนดีกว่าค่ะ” แป้งที่ร่อนลงมาน้อยนิด แต่แป้งที่หกออกข้างนอกค่อนข้างเยอะ คุณหมอไม่เหมาะกับการทำงานครัวจริงๆ นั่นแหละ ถือมีดในห้องผ่าตัดเป็นการสมควรแล้ว
“ได้สิ” สิ่งที่เขาทำคือดึงหล่อนมายืนในอ้อมกอด กักกันด้วยท่อนแขนหนาทั้งสองข้างเล่นเอาคนตัวเล็กอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แผ่นหลังแนบแผงอกหนาได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังพร้อมลมหายใจร้อนที่รดข้างหู
“มะ ไม่ใช่แบบนี้ค่ะ”
“แบบนี้แหละ จะได้เรียนรู้เร็ว” ถ้าให้สอนแบบนี้เลือดได้ไหลมากองรวมกันที่ใบหน้าของเธอหมดพอดี พยายามจะขืนตัวออกแต่เตชน์ก็ไม่ปล่อยให้หลุดพ้นเลย ขยับเข้ามาใกล้จนลำตัวแทบจะแนบชิดกันทุกสัดส่วน
“อย่าขยับบ่อย เดี๋ยวมันตื่นพอดี” ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ทว่าพอเริ่มคิดออกก็เบิกตากว้าง ลำตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ
อาการนิ่งค้างของหล่อนเรียกรอยยิ้มมุมปากจากชายหนุ่ม กลิ่นหอมจากกลุ่มผมสวยโชยมาจนเผลอสูดดม ไม่น่าเชื่อว่าภรรยาที่แต่งงานเพราะธุรกิจจะน่ารักน่าใคร่ขนาดนี้ ถ้าเขาคิดอยากจีบเธอมันแปลกไหมนะ
ไม่หรอก...อย่างไรสถานะของพวกเขาก็มากกว่านั้นอยู่แล้ว
“คุณต้องค่อยร่อนแบบนี้ค่ะ มืออีกข้างจับให้แน่น ส่วนอีกข้างตีที่ถาดเบาๆ” สูดลมหายใจเรียกสติ แล้วพยายามอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด จะได้หลุดพ้นจากอ้อมกอดที่ทำให้ใบหน้าและลำตัวร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็น
“คุณทำได้แล้วปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันต้องไปเตรียมของ” พยายามออกจากอ้อมแขน แต่ฝ่ายชายกลับไม่ปล่อยสักที
“ฉันยังทำไม่ได้เลย” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูจนหล่อนต้องย่นคอหนี
“ทำได้แล้วค่ะ ปล่อย” ดิ้นเล็กน้อยไม่กล้าดิ้นแรงเพราะกลัวว่าอะไรบางอย่างจะตื่นมาทักทาย
“เธอคิดจะหย่ากับฉันจริงๆ เหรอ” ถามราวเป็นเรื่องทั่วไป คำถามนี้ติดอยู่ในห้วงคำนึงมากว่าสี่วัน และทำให้ไม่มีหมอคนไหนเข้าหน้าเตชน์ติดเพราะชายหนุ่มเอาแต่ทำหน้าเข้มตลอดเวลา
ที่จริงปกติก็หน้านิ่งอยู่แล้ว ทว่าพออารมณ์เสียทุกอย่างมันจะออกมาทางแววตาและภาษากายด้วย หลายคนจึงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่ถ้าอยู่ในเวลางานก็ปกติ ดูเหมือนคุณหมอจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจน
“แล้วเราจะอยู่กันไปทำไมล่ะคะ เราไม่ได้รัก..” ไหล่มนถูกหมุนให้หันมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูง หล่อนไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอจ้องดวงตาคมที่พราวระยับจนไม่กล้าสบตาต้องรีบหลบ
“ถามฉันหรือยังว่ารู้สึกยังไง” เธอเอาแต่คิดแทนโดยไม่ถามเจ้าตัวสักครั้ง
“ทำไมต้องถามคะ เราก็รู้อยู่แล้วว่าการแต่งงานมันเพราะธุรกิจ” ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ลืมไปด้วยซ้ำว่าการแต่งงานครั้งนี้มันเป็นของชลชินี ไม่ใช่เธอ
“แต่มันก็เปลี่ยนได้ ความรู้สึกคนเรามันผันแปรตลอดนั่นแหละ” นั่นสินะ...ดูเหมือนตอนนี้ความกลัวต่อเขานับวันยิ่งลดลง และความรู้สึกหวั่นไหวก็เพิ่มมากขึ้นจนน่าใจหาย
ถ้าเกิดวันหนึ่งหลงรักพี่เขยตัวเอง..จะทำอย่างไร
“แต่มันใช้ไม่ได้กับเราค่ะ” เชิดหน้าเล็กน้อยค่อยโต้กลับ
“ใครว่าล่ะ” คุณหมอรูปหล่อแย้ง
“ทำไมคะ คุณรักฉันหรือไง” เผลอถามด้วยความปากไว พอพูดจบก็อยากเขกศีรษะตัวเองที่เปิดช่องให้อีกฝ่าย
“อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่อีกไม่นานคงจะเป็นอย่างนั้น” พูดจบเขาก็เชยคางมนขึ้นแล้วมอบจุมพิตแสนหวานให้ทันที
มือเล็กยกมาหวังจะผลักอกหนาออก แต่เพราะความหวานที่ติดอยู่ปลายลิ้น เสียงจุมพิตซึ่งดังข้างหู และหัวใจสองดวงสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกัน
ทันใดนั้นหล่อนทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกที่กำลังเผชิญ
ความรู้สึกที่ดูเหมือนว่า...จะตกหลุมรักเขาเสียแล้ว