บทที่๒...ใกล้ชิดสนิทสนม (๒)
ก่อนจะชะงักเมื่อคิดว่าเผลอแสดงความเป็นตัวเองออกไปหรือเปล่า ยามชลชินีอยู่กับเขาทำตัวอย่างไร ไล่ทบทวนความทรงจำก็พบว่าพี่สาวเจอกับว่าที่สามีเพียงแค่ครั้งเดียวคือตอนถ่ายพรีเวดดิ้ง และยังมาเล่าให้ฟังอยู่เลยว่าไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ
ชายหนุ่มเอาแต่ทำหน้านิ่งไม่พูดจาปราศรัย ก่อนจะแยกกันกลับเมื่อถ่ายรูปเพื่อจะได้เอามาตั้งโชว์ในงานเรียบร้อย
แสดงว่าเตชน์ก็ไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอของแฝดพี่เท่าไหร่ หากหล่อนทำอะไรไปคงไม่ผิดสังเกตหรอก คิดอย่างนั้นเริ่มผ่อนคลาย
“แล้วทำไมเราไม่กินข้าวที่บ้านคะ” ดวงตาคมเหลือบมามองคนข้างกายครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมองถนนเช่นเดิม
“คุณแม่จองร้านอาหารไว้ให้เรา” ทุกอย่างเป็นเพราะครอบครัวสั่งนี่เอง
เขาช่างเป็นลูกกตัญญูดีเด่นเสียจริง ทำตามคำสั่งแม้จะไม่ชอบใจ ตั้งแต่ที่ไปกินข้าวเพื่อดูตัวแล้ว ยังมาเรื่องแต่งงานและการร่วมหออีก หรือความจริงชายหนุ่มคือหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรม
หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าความคิดของตนชักจะเพี้ยนไปใหญ่แล้ว
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันไม่ค่อยชอบใจท่าทีของภรรยา การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของเขา แน่นอนว่ามันคือผลประโยชน์ทางธุรกิจที่บิดาพูดกรอกใส่หูวันละหลายรอบ
ความรักของชายหนุ่มถูกโยนทิ้งและฝังกลบไปหลายปีแล้ว การถูกทรยศมันเจ็บปวดมากแค่ไหนเขาย่อมรู้ดี จึงเลี่ยงมาโดยตลอดและคิดว่าจะไม่ยอมมีความรู้สึกพิเศษกับใครอีกแล้ว
ดังนั้นวันที่บิดามาคุยเรื่องแต่งงาน เขาจึงตอบตกลงเพราะคิดว่ามันก็แค่การทำธุรกิจอีกรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงฝ่ายหญิงแม้แต่น้อยว่าจะรู้สึกเช่นไร
ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรอีก หญิงสาวก็กังวลว่าถ้าเอ่ยออกไปจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว เลยเลือกปิดปากเงียบดีกว่า
หรือหล่อนควรจะเป็นผู้หญิงพูดมากเพื่อให้เขารำคาญจะได้หย่าขาดตามความต้องการของชลชินี แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน นั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยจนพาหนะจอดลงหน้าร้านอาหารชื่อดัง
ทั้งสองลงจากรถก่อนที่แขนหนาจะถูกคว้ามากอด พอคุณหมอหันมองด้วยแววตาไม่ใคร่ชอบใจก็ได้รอยยิ้มของฝ่ายหญิงตอบกลับซะอย่างนั้น
“ฉันกลัวหลงค่ะ” เหตุผลช่างอ่อนสิ้นดี แต่เขาก็คร้านจะพูดให้มากความจึงเดินเข้าร้านโดยมีภรรยาเคียงข้าง
“กี่ท่านคะ” พนักงานต้อนรับเอ่ยถาม
“จองไว้แล้วครับ” บอกชื่อกับอีกฝ่ายแล้วเข้ามารอด้านใน ทว่าสีหน้าของพนักงานกลับทำให้คู่รักคิดว่าต้องเกิดความผิดพลาดขึ้นแน่
หล่อนเดินไปหาผู้จัดการร้านก่อนจะพากันมาจดจ้องหน้าจอคอมที่อยู่ติดกับประตูทางเข้า พูดคุยเสียงเบาจนจับใจความแทบไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองยังโต๊ะติดกระจกที่มีครอบครัวพ่อแม่ลูกนั่งฉลองวันเกิดอย่างมีความสุข
“ต้องขออภัยด้วยนะครับคุณลูกค้า เกิดความผิดพลาดในการจอง มีการจองซ้อนเกิดขึ้นทำให้โต๊ะของท่านไม่ว่างในขณะนี้ ถ้ายังไงผมขอความกรุณารอสักครู่ได้ไหมครับ ทางเราจะจัดการหาโต๊ะใหม่ให้โดยเร็ว” ผู้จัดการมีเสียงนอบน้อมและแววตาที่รู้สึกผิด
คงเกิดจากการขัดข้องของระบบจอง เพิ่งให้ฝ่ายคอมมาเช็คเมื่อวันก่อน ไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดพลาด ดันเจอปัญหาใหญ่เสียได้
หญิงสาวมองเข้าไปข้างในเห็นว่าโต๊ะที่จองน่าจะเป็นโต๊ะของสามคนพ่อแม่ลูก หล่อนมองรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงที่เปล่งประกายด้วยความสุข แอบอิจฉาที่ตนไม่เคยมีโอกาสแบบนั้นบ้างเลย งานวันเกิดจัดพร้อมพี่แต่แทบเป็นอากาศธาตุ
ทุกคนสนใจเพียงชลชินี
“ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องยุ่งยากหรอก เรากลับบ้านดีไหมคะ” สีหน้าของคุณหมอไม่ใคร่ชอบใจ ทั้งที่จองโต๊ะไว้แต่กลับโดนแย่งต่อหน้าต่อตา
“คุณผู้หญิงรอสักครู่นะครับ” พยายามยื้อเพราะกลัวการคอมเพลนของลูกค้า
“ฉันไม่ได้ติดใจอะไรนะคะ ไม่ต้องยุ่งยากกันหรอกค่ะ เดี๋ยวพวกเรากลับบ้านเลยดีกว่า เหนื่อยมากแล้วด้วย” ไม่อยากมีปัญหาจึงบอกตัดบทแล้วลากคุณหมอออกมาทันที
ถึงเขาพยายามจะขืนตัวไว้ก็ไม่เป็นผล พวกหล่อนกลับมายังรถยนต์คันเดิม ขณะที่ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าหวานไม่วาง
“เราไม่ควรออกมาแบบนี้ เราไม่ได้ผิด” บอกอย่างชัดเจนเพราะฝ่ายผิดคือทางร้าน
“แต่คุณจะให้พวกเขาไล่พ่อแม่ลูกออกจากร้านเหรอคะ ดูก็รู้ว่าคงต้องจัดการแบบนั้น ฉันสงสารเด็ก” ทำหน้าเศร้าจนเขาต้องถอนหายใจ
“แล้วจะเอายังไง” หล่อนนิ่งไปสักพักแล้วมองร้านที่อยู่ข้างกัน ดวงตาพราวระยับจนเตชน์เห็นว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดีจึงมองตาม
“เราไปกินจิ้มจุ่มกันค่ะ” คว้ามือหนาแล้วลากเข้าไปข้างในด้วยกัน ไม่รับฟังความคิดเห็นแม้แต่น้อย ไม่รู้จะเรียกว่าเผด็จการได้ไหมเพราะดูเหมือนฝ่ายชายก็ตามใจหล่อนเหมือนกัน
คุณหมอไม่เคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อน อย่างมากก็กินเนื้อย่างตามห้างสรรพสินค้า อย่างเนื้อวากิวราคาหลายพัน ทว่าไม่เคยสักครั้งที่มาลิ้มลองร้านข้างทางเช่นนี้
ใครจะคิดว่าร้านอาหารชื่อดังที่มารดาจองจะอยู่ใกล้กับเพิงร้านอาหารอีสานที่ไม่ค่อยน่าเข้าเท่าไหร่ พยายามยื้อภรรยาไว้แต่หล่อนก็ยังลากเข้ามาจนได้
“สองที่ค่ะ” นั่งลงตรงโต๊ะด้านใน พอพนักงานเข้ามาก็สั่งอย่างลื่นไหล
“ขอผ้าขี้ริ้วกับตับเยอะๆ นะคะ” เหมือนหล่อนคุ้นเคยกับการสั่งอาหารเป็นอย่างดี ต่างจากร่างสูงที่พูดไม่ออก
“อ้อ แล้วก็ขอก้อยสุกกับต้มแซ่บด้วยค่ะ” มองเมนูโดยไม่คิดจะถามคนตรงข้าม เพราะอย่างไรเขาก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว
“ข้าวเหนียวด้วยไหมคะ” พยักหน้าทันที
“สองกระติ๊บค่ะ” แย้มยิ้มเมื่อได้รับประทานอาหารที่อยาก พอสั่งเสร็จก็นั่งรอโดยมีสายตาไม่ไว้วางใจของเตชน์คอยมอง แบบนี้รับมือยากเกินไป ฝ่ายชายไม่คิดว่าหล่อนจะเป็นคนเช่นนี้
เจอครั้งสองครั้งก็เห็นสงบปากสงบคำไม่ค่อยพูด หรือมันจะเป็นตัวจริงของเธอหลังจากแต่งงานกัน
“คุณเคยกินจิ้มจุ่มไหมคะ” ถามเพื่อลดบรรยากาศแสนอึดอัด
เธอคิดว่าที่จริงเขาก็ไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่ตอนที่เจอกันครั้งในร้านอาหารจีนนั้นมันน่าอึดอัดเพราะขนาดห้องที่ใหญ่และความเงียบโดยรอบต่างหาก ถ้าเปลี่ยนมาเป็นร้านข้างทางเตชน์ก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง
ถึงแม้เสื้อผ้ที่ใส่จะราคาหลักหมื่น ส่วนนาฬิการาคาหลักล้านก็ตาม
“ไม่” ตอบชัดเจน และส่งสายตาตำหนิไม่ปิดบัง
“มันอร่อยมากเลยค่ะ คุณต้องลองกินนะคะ อ่ะ มาพอดีเลย เดี๋ยวฉันสอนเองค่ะ” ในเมื่อพี่สาวบอกให้ทำอย่างไรก็ได้ขอแค่อีกฝ่ายยอมหย่า ชลธรคนนี้ก็จะทำตามคำสั่งให้เอง
ชายหนุ่มเป็นคนเงียบ หล่อนจะพูดให้เยอะจนเขารำคาญเลยคอยดูสิ
หม้อดินตรงหน้ามาเสิร์ฟพร้อมเตาถ่าน หญิงสาวรอจนน้ำเดือดก็ใส่ผักและเนื้อลงไป ยิ่งเห็นของที่สั่งแยกมาวางบนโต๊ะทำให้ดวงตากลมเป็นประกายกว่าเดิม ลอบกลืนน้ำลายด้วยความหิวแล้วจัดการทุกอย่างเอง เพราะคิดว่าเตชน์คงไม่รู้เรื่อง
“ลองกินดูสิคะ อร่อยดีนะ” ตักก้อยสุกใส่ในจานให้เขา ยื่นข้าวเหนียวกระติ๊บเล็กไปไว้ด้านขวาจะได้ถนัด
“ลองดูค่ะ” ร่างสูงไม่ค่อยไว้วางใจในอาหาร แต่ก็ลองกินตามที่หล่อนเอ่ยชวน พอตักเข้าปากก็คิดว่ารสชาติไม่เลว จนติดลมกินไปเรื่อยแทบยังไม่ได้ชิมจิ้มจุ่มด้วยซ้ำ ต้มแซ่บที่มาเสิร์ฟก็อร่อยจนตักไม่หยุด
หญิงสาวเห็นอย่างนั้นก็แอบอมยิ้ม เขาคงไม่เคยกินอาหารอีสานถึงได้ซดน้ำซุปจนแทบจะหมดถ้วย ชลธรหยิบถ้วยของชายหนุ่มมาตักจิ้มจุ่มไปวางตรงหน้า อีกฝ่ายทำแค่เงยหน้ามามอง
“ขอบคุณ” ทั้งที่อยู่ในสถานะสามีภรรยา และเขาก็เกือบจะมีอะไรกับเธอแล้ว แต่ยังเว้นระยะห่างเหมือนคนอื่นไกลซะได้
ช่างน่าไม่อายเสียจริงผู้ชายคนนี้
“ซื้อพวงกุญแจไหมครับ” เด็กน้อยหน้าตามอมแมมเดินเข้ามาในร้าน อาจเพราะร้านแห่งนี้เป็นเพิงข้างทางไม่ได้มีประตูหรือกำแพงกันสำหรับคนขายของทั่วไปจึงสามารถเข้ามาได้
หล่อนมองเด็กน้อยอย่างนึกสงสัย กลัวว่าจะเป็นกลุ่มจับเด็กแล้วพามาหาเงิน แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่ใช่แบบที่กลัว
ชลธรตัดสินใจเหมาพวงกุญแจโดยยื่นแบงค์พันให้เด็กน้อย “พี่เหมาหมดเลย ไม่ต้องถอนนะที่เหลือเอาไว้กินขนม” เด็กน้อยยิ้มแก้มปริแล้วเอาพวงกุญแจที่ถักทอเป็นตัวการ์ตูนต่างประเทศให้พี่สาวคนสวยหมดเลย
“ขอบคุณนะครับพี่คนสวย” แผ่นหลังน้อยจากไป เหลือเพียงรอยยิ้มของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้คุณหมอหนุ่มหยุดชะงักแล้วมองอย่างเผลอไผลไปชั่วขณะ
ดวงตาพราวระยับราวแสงดาวหยอกล้อกับหมู่เมฆา ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างทั้งที่มันเป็นเพียงแค่ของราคาถูก ไม่ใช่กระเป๋าใบละแสนอย่างที่เคยเห็นผู้หญิงหลายคนนิยมชมชอบ อีกด้านของชลชินีที่เขาเพิ่งได้รู้
ว่าเธอเองก็น่ารักเหมือนกัน...
“อึก แค่กๆ” เผลอกลืนข้าวเหนียวคำโตลงคอจนสำลัก เขารีบยกน้ำมาดื่มเล่นเอาคนนั่งตรงข้ามตกใจ ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ซับปาก
เตชน์อับอายจนไม่กล้ามองหน้าหล่อน ขณะที่สาวร้านขนมหวานเริ่มเป็นห่วงเขา มองหน้าคมอย่างถี่ถ้วนเมื่อเห็นว่ากลับเป็นปกติก็ถอนหายใจโล่งอก
“กินข้าวระวังหน่อยสิคะ” เป็นครั้งแรกที่ถูกเตือนเหมือนเด็กอายุสามขวบ ใบหน้าคมแดงก่ำก่อนซ่อนมันเอาไว้ด้วยการก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร หมดมาดของหนุ่มขรึมที่พยายามสร้างจนชลธรอดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้
ดูไปแล้วเขาก็ไม่ได้น่ากลัวสักนิด แค่ชอบวางท่าเท่านั้นเอง
“ป่ะ กินข้าวกัน” ใบหน้าคมที่กำลังอ่านชาร์ตของผู้ป่วยเงยหน้ามามองเพื่อนสนิทที่ถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
หากเป็นคนอื่นคงโดนเฉ่งไปแล้ว แต่เพราะธนดล พัฒนาวัลย์คือเพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่คิดอะไรมากและทำเพียงวางเอกสารลงบนโต๊ะพร้อมออกไปกินข้าวในกับเพื่อนในรอบสัปดาห์
ช่วงเที่ยงแบบนี้เขาไม่ค่อยว่างหรอก มีนัดผ่าตัดวันต่อวันแทบไม่ค่อยได้พัก ชื่อเสียงที่ต้องแลกมากับเวลา แต่เขาก็คิดว่ามันคุ้มกับสิ่งที่เสีย
“ได้ข่าวว่านายแต่งงานกับพี่สาวของน้ำตาลเหรอ” มาถึงโรงอาหารของโรงพยาบาลก็มีเพื่อนจากแผนกอื่นเข้ามาถามไถ่ วันแต่งงานหมอหลายคนในโรงพยาบาลต่างก็ได้รับเชิญทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะมีตกหล่นบ้าง
“ใช่” ตอบสั้นๆ แล้วรับประทานอาหารตรงหน้า ช่วงบ่ายเขามีผ่าตัดให้ผู้ป่วย คงต้องเร่งเวลาสักหน่อย
“ทำไม นายชอบเหรอ” เพื่อนอีกคนถาม
“ก็สวยดี เดือนก่อนเจอตอนไปเที่ยวคลับ เซ็กซี่เป็นบ้า” เตชน์ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะโดยส่วนตัวไม่รู้จักหรือสนิทสนมกับผู้หญิงที่ชื่อน้ำตาล วันงานแต่งก็ไม่เห็นอีกฝ่ายมาช่วยดูแลหรือจัดแจง
พอจะทราบเรื่องหน้าตาของฝาแฝดที่คล้ายกันมากจนแยกไม่ออก แต่เขาคิดว่าตนสามารถแยกได้ เพียงแค่ไม่เคยเจอพร้อมกันเท่านั้นเอง
“ฉันก็เจอ หลายเดือนก่อนมั้ง คนมองกันเพียบ หุ่นก็ดีแถมยังเต้นสวยอีก หลงเลยว่ะ” คุณหมอหลายคนพากันเพ้อถึงหญิงงาม
แต่เตชน์กลับลุกขึ้นแล้วนำจานข้าวไปเก็บ ค่อยเดินกลับห้องทำงานเพื่อเตรียมผ่าตัด
“หมอนี่ไร้อารมณ์ชะมัด สงสารเมียมันเลยว่ะ” ธนดลไม่ใคร่ชอบใจกับคำพูดนั้นเท่าไหร่ เขาเก็บจานข้าวของตนและตามเพื่อนสนิทไปเช่นเดียวกัน
เหลือเพียงกลุ่มคนที่พูดถึงชลธรอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่กล่าวถึงคือชลชินี...