บทที่๑...เจ้าสาวสวมรอย (๒)
ความยิ่งใหญ่รออยู่ตรงหน้าแล้วมีหรือจะปล่อยให้หลุดมือ คราวนี้ถือเป็นการทำคะแนนกับสามีให้รักหลงหล่อนเหมือนเดิม
“แต่แม่” ขืนตัวเอาไว้ทั้งหลบมือท่านพัลวัน
“น้ำตาล! รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วทำตัวเป็นน้ำหวานซะ” ดวงตาเรียวจ้องเขม็ง อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยบุตรสาวเด็ดขาด
“แม่เคยรักตาลบ้างไหม ทำไมตาลต้องยอมเป็นพี่หวานตลอด เรื่องไม่ดีก็โยนมาให้ตาล แม่เคยเห็นตาลเป็นลูกแม่บ้างไหม” เพราะเธอไม่ทำตัวให้ดีเหมือนพี่ ไม่เอาใจพ่อเหรอเลยกลายเป็นคนถูกลืม
ดวงหน้าหวานเปรอะเปื้อนด้วยรอยน้ำตา จนคนเป็นแม่รู้สึกสงสารทว่าไม่ใช่เวลามาปลอบใจ มองนาฬิกาที่เวลาเคลื่อนคล้อย ช้ากว่านี้คงไม่ทัน
“รัก แม่รักแกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แกต้องช่วยแม่ให้งานแต่งผ่านไปราบรื่นก่อน อีกสองเดือนพี่สาวแกก็กลับมา ช่วยแม่หน่อยนะตาล” เอาน้ำเย็นเข้าลูบ เช็ดน้ำหูน้ำตาให้บุตรสาวคนเล็กที่เริ่มสะอื้นด้วยความเสียใจ
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด คนตัวเล็กกำลังตัดสินใจบางอย่างที่ยากเสียเหลือเกิน
ใครจะคิดว่าเมื่อวานช่วยดูแลความเรียบร้อยของงาน วันนี้กลับต้องใช้ชื่อพี่สาวแล้วปลอมตัวเข้าสวมชุดสีขาวเสียเอง
แล้วเจ้าบ่าวดันเป็นเตชน์ที่แสนน่ากลัวในความรู้สึกของหล่อน คาดเดาอารมณ์ของฝ่ายชายไม่ได้เลย ถ้าความแตกขึ้นมาจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็สยองแล้ว
“ก็ได้ ตาลจะแต่งงานแทนพี่หวาน” รอยยิ้มของมารดาปรากฏขึ้น ตรงเข้าสวมกอดชลธรอย่างรักใคร่
“เด็กดีของแม่ แค่สองเดือนเท่านั้น แกทนหน่อยนะ” ตั้งสองเดือนต่างหาก ความทรมานที่ต้องอยู่กับผู้ชายที่ไม่ได้รักมันเหมือนตกนรกทั้งเป็น
อยากโกรธครอบครัว อยากเกลียดพี่สาวแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพื่อนสนิทมักบอกว่าเธอใจดีเกินไป ให้อภัยง่ายเพียงแค่คนทำผิดเดินเข้ามาขอโทษ คนหัวอ่อนอย่างชลธรสักวันจะได้รับภัยจากคนใกล้ตัว
แล้วก็จริงดังว่า เพราะตอนนี้ชลชินีทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้น้องสาวเรียบร้อยแล้ว
งานหมั้นจัดขึ้นช่วงเช้าที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว ห้องโถงถูกจัดเป็นสถานที่สำหรับพิธีหมั้น ป้ายชื่อเด่นหราบ่งบอกว่าคนที่เป็นเจ้างานคือชลชินีและเตชน์ ทว่าคนที่สวมชุดเจ้าสาวตอนนี้คือชลธรต่างหาก
“ตาลไปไหน” ระหว่างรอเจ้าบ่าวแห่ขบวนขันหมากเข้ามาในบ้านบิดาก็หันไปถามแม่ของหล่อน ขณะที่เจ้าของชื่อซึ่งอยู่ในชุดไทยสีเหลืองอร่ามทำได้เพียงก้มมองพื้น
ผู้หญิงที่อยู่ในกระจกช่างสวยงามเสียเหลือกิน ผมยาวถูกรวบเกล้าเป็นมวยอย่างประณีต ใบหน้าหวานแต่งแต้มจนสวยงามราวนางฟ้านางสวรรค์ ชุดไทยสีเหลืองทองที่พี่สาวเลือกไว้ถูกสวมบนร่างกายของคนน้องด้วยความจำเป็น
เธอไม่ต้องการใส่ชุดนี้เลย มันควรเป็นที่ของชลชีนีไม่ใช่เหรอ
“มีงานด่วนค่ะ เลยขอกลับก่อน” เหตุผลสร้างความขุ่นมัวให้คนฟัง
“ไม่ได้เรื่องสักอย่าง” หล่อนได้ยินสิ่งที่บิดาพูดออกมาชัดเต็มสองหู อยากอธิบายให้ท่านเข้าใจแต่ก็ต้องเงียบเอาไว้
พอดีกับที่แม่ใหญ่หรือคุณเมธาวี เตชธรรมเดินเข้ามาในห้องเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย พร้อมทั้งจับจูงมือของหลานชายฝาแฝดเข้ามาด้วย
“ทางเจ้าบ่าวมาถึงแล้วค่ะ” บอกสามีโดยเมินชลธิดา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยชอบหญิงผู้นี้เป็นทุนเดิม แค่อนุญาตให้จัดงานหมั้นของลูกสาวที่บ้านก็มากเกินพอแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงไปกันเถอะ” พวกเธอทยอยเดินลงมา แต่เจ้าสาวกลับถูกหลานชายคว้ามือเอาไว้เสียก่อน
“อาหวานสวยมากเลยครับ” เด็กชายน่านฟ้าชมพลางแย้มยิ้ม เธอมีหลานชายฝาแฝดที่ช่างพูดเจรจา มาบ้านนี้ทีไรก็ขอตัวไปเล่นกับน้องไม่ค่อยสนทนากับผู้ใหญ่
ต่างจากชลชินีที่ไม่ชอบเด็ก แล้วมักอยู่ร่วมวงสนทนาในเรื่องการแพทย์กับบิดาและพี่ชายอย่างอคิราห์เสมอ
“ขอบใจ.. ขอบคุณ” ลืมตัวเผลอยิ้ม จนต้องรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นแบบพี่สาวเพื่อไม่ให้หลานชายจับได้ ก่อนจะเดินลงมาข้างล่างซึ่งตอนนี้มีฝ่ายญาติเจ้าบ่าวจับจองพื้นที่ไปกว่าครึ่ง
ร่างบางในชุดไทยเดินมานั่งข้างเจ้าบ่าวหน้าขรึม ลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อสบตากัน ยอมรับเลยว่าหมอเตชน์หล่อมาก เหมือนพระเอกต่างประเทศที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่เขาดันมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ทว่าใบหน้าที่นิ่งขรึมเป็นนิจทำให้ความน่ามองลดลง ถูกแทนที่ด้วยความกลัวจนต้องละสายตาจากเจ้าบ่าว ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนั่งลงยังโซฟานุ่ม โดยไล่เรียงมาตั้งแต่บิดามารดาของเจ้าบ่าว และฝ่ายเจ้าสาวคือคุณอนุวัตและแม่ใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยแม่โดยสายเลือดของเจ้าสาว
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดครอบครัววาดณรงค์จึงยอมรับลูกสะใภ้ที่เกิดจากภรรยารอง อาจเพราะต้องการร่วมธุรกิจ และเกี่ยวดองกันทางสายเลือด จึงไม่สนใจว่าผู้หญิงจะกำเนิดจากไหน ขอแค่มีนามสกุลเดียวกันกับอนุวัตก็พอแล้ว
“สวมแหวนให้น้องสิ” งานดำเนินไปจนถึงวินาทีสวมแหวน
ใจของชลธรร้องตะโกนว่ามันไม่ถูกต้อง เธอไม่อยากอยู่ในสถานะตัวสำรอง ภายใต้ชื่อของพี่สาวที่แสนเก่งกาจ เหลือบตามองคุณชลธิดาอย่างอ้อนวอน แต่ท่านกลับถลึงตาแล้วส่งสัญญาณให้ยื่นมือไปตรงหน้าเจ้าบ่าวแทน
สุดท้ายแล้วนิ้วนางข้างซ้ายก็ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป มีแหวนเพชรเม็ดโตประดับเพื่อจับจองเป็นเจ้าของว่าหญิงผู้นี้ไม่โสดแล้ว
พนมมือไหว้ชายหนุ่มอย่างสวยงาม ก่อนจะเป็นการรดน้ำสังข์และเซ็นจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ มือเล็กตวัดลายเซ็นของคนเป็นพี่ ทำไมหล่อนต้องกลายเป็นเครื่องมือทำให้บิดาภูมิใจด้วย
น้อยเนื้อต่ำใจแต่ก็เลือกจะรักษาครอบครัวแสนสุขเอาไว้ หลังงานช่วงเช้าก็มีงานเลี้ยงช่วงค่ำ เจ้าบ่าวเจ้าสาวแทบไม่ได้พูดอะไรกัน พวกเขาทำเพียงยิ้มการค้าและรับแขกเท่านั้น วิดีโอแสดงถึงความรักก็ไม่มี การกล่าวถึงอีกฝ่ายก็แค่พูดส่งๆ
ทุกอย่างรวดเร็วไปหมดจนกระทั่งถึงคืนเข้าหอ รถยนต์แล่นเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัววาดณรงค์ ขึ้นมาห้องหอที่จัดเตรียมเอาไว้ คาดว่าเป็นห้องที่เตชน์อาศัยเพราะมันค่อนข้างกว้างขวาง มีระเบียงนั่งเล่นสำหรับรับลมข้างนอก
แต่หล่อนไม่มีกระจิตกระใจจะสำรวจอะไรทั้งสิ้น ทำเพียงนั่งบนพื้นแล้วฟังผู้ใหญ่ให้โอวาทในการใช้ชีวิตคู่ก็เหนื่อยแล้ว
“แม่ฝากดูน้องด้วยนะคะ” คุณชลธิดาหันมาบออกลูกเขยขณะจะออกจากห้อง เขาทำเพียงยิ้มรับแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้ใหญ่ทยอยเดินออกไปเหลือเพียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่อยู่ในห้อง ร่างบางรู้สึกว่าตัวเองเกะกะไปหมดไม่ว่าจะยืนมุมไหน เหลือบมองใบหน้าคมที่ยังนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ไม่รู้ว่าควรพูดหรือทำความคุ้นเคยกับคนที่ขึ้นชื่อว่าสามีไหม เพราะสำหรับเธอแล้วเขาเป็นพี่เขย และควรเว้นระยะห่างให้มากที่สุด
สองเดือนต่อจากนี้คงต้องสวมรอยเป็นชลชินี ฉะนั้นความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเตชน์ไม่ควรเกิดขึ้นเด็ดขาด ถ้าพี่สาวกลับมาจะได้มาทำหน้าที่ตรงนี้แทน
แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกว่าถ้าอีกฝ่ายจะกลับมาในฐานะภรรยาของคุณหมอมากความสามารถ แล้วจะหนีจากงานแต่งไปทำไมตั้งแต่แรก คิดแล้วก็ได้แต่สงสัยจนกระทั่งเห็นร่างสูงหายเข้าไปในห้องเสื้อผ้า ปล่อยหล่อนไว้คนเดียว
ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าพลางทรุดนั่งบนเก้าอี้ เสื้อผ้ากว่าครึ่งในตู้เห็นว่าแฝดพี่เอามาไว้หมดแล้ว รูปร่างของพวกเธอไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ขนาดเอวของหล่อนจะเล็กกว่าเพราะต้องควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไปยามออกกล้อง
ชุดแต่งงานลากยาวเป็นทรงนางเงือกเพราะเจ้าสาวต้องการเน้นสัดส่วน ปลายกระโปรงกองรวมกันแต่เธอก็ไม่มีแก่ใจจะจัดมันให้สวย เสร็จงานแต่ความหนักอึ้งยังไม่จางหายไปสักที ทำได้เพียงถอดถอนหายใจหลายครั้ง จนกลัวว่าจะอายุจะสั้นลง
“ไปอาบน้ำสิ” เจ้าของห้องออกมาด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขายาวสำหรับใส่นอน หล่อนลุกนั่งตรงพลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ทำไมเขาทำอะไรเบาขนาดนี้ เสียงฝีเท้ายังแทบไม่ได้ยินเลย
“ค่ะ” พยายามท่องไว้ว่าตอนนี้หล่อนคือชลชินี แฝดพี่ผู้ไม่กลัวอะไรและเข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่าย ต่างจากเธอที่ถึงจะร่าเริงและช่างพูดคุย แต่ถ้าให้เข้าไปทำความรู้จักคนแปลกหน้านั้นช่างแสนยากเย็น ไม่รู้ว่าควรชวนคุยอย่างไรดี
รีบลุกไปห้องแต่งตัวที่เชื่อมกับห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินแบ่งครึ่งของชายหญิงชัดเจนด้วยโทนสีขาวดำ คงทำใหม่ก่อนที่พี่สาวเธอจะเข้ามาอาศัย
ชลธรถอดชุดเจ้าสาวแล้วเอาห้อยไว้เพื่อนำไปคืนพรุ่งนี้ เข้าห้องน้ำชำระร่างกายและผมที่ถูกฉีดสเปรย์จนแข็ง หล่อนใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะออกมาห้องนอนได้พร้อมผมที่แห้งสนิท
เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียง ไม่น่าเชื่อว่าคนตรงหน้าจะมีชีวิตจริง หล่อราวรูปปั้นขนาดนี้เหมือนหุ่นมากกว่าซะอีก
ยิ่งยามอ่านหนังสือแล้วสวมแว่นตา เรียกได้ว่าเสน่ห์เหลือล้นจนไม่แปลกใจที่จะมีแฟนคลับทั่วประเทศทั้งที่ไม่ได้เป็นดารา
“ปิดไฟเลยนะ” เงยหน้าเห็นภรรยาเดินเข้ามา จึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ค่ะ” หล่อนจำต้องมานอนข้างเขา ดีที่เตียงกว้างจึงไม่เบียดกันมากนัก พอสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มสีเข้มไฟก็ถูกปิดลง มือหนาถอดแว่นตาและวางหนังสือไว้ข้างหัวเตียง
แต่แทนที่จะนอนลงบนเตียงกลับกลายเป็นว่าร่างสูงขึ้นมาคร่อมทับหล่อนพร้อมจับใบหน้าหวานให้แหงนขึ้นเพื่อรับจุมพิตโดยที่ชลธรไม่ทันจะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อสัมผัสริมฝีปากนุ่มของคุณหมอ ไม่คิดว่าเขาจะรุกเธอเร็วขนาดนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ
มือเล็กผลักอกหนาออก ไม่รับรู้ถึงความหวานฉ่ำใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเธอรู้เพียงต้องกันเขาออกห่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะล่วงเลยไปมากกว่านี้ สถานะของเราไม่ใช่สามีภรรยา แต่เป็นพี่เขยกับน้องเมียต่างหาก
ทว่าร่างหนาก็ทนทานเสียเหลือเกิน ผลักเท่าไหร่ก็ไม่ไป สุดท้ายหล่อนจึงใช้เท้าถีบเขาให้ห่างกาย แล้วลุกขึ้นนั่งพลางกระชับผ้าห่มปิดบังร่างกาย ถึงชุดนอนจะเป็นแขนยาวขายาวก็เถอะ
“มะ ไม่ได้นะคะ” บอกเสียงสั่น
“แต่งงานก็ต้องเข้าหอ” ดวงตาคมไม่มีแววปรารถนา เหมือนทำทุกอย่างเพียงเพราะหน้าที่ มีภรรยาและลูกตามคำสั่งของบุพการี
“ไม่ค่ะ เข้าไม่ได้” รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เล่นเอาร่างสูงขมวดคิ้วสงสัย
“ทำไม” หายใจเข้าออกถี่ ไม่รู้ว่าควรบอกเหตุผลอย่างไรดีเพราะหล่อนก็คิดไม่ออกเช่นเดียวกัน จะให้บอกความจริงไปหรือไงทั้งที่เล่นละครมาได้ทั้งวัน ดันมาตกม้าตายซะอย่างนั้น
ความเงียบและแววตากดดันทำให้เหงื่อแตกพลั่ก สุดท้ายก็คิดหาเหตุผลออกสักที
“ฉันเป็นประจำเดือน ใช่ค่ะ ฉันเป็นประจำเดือน” เหตุผลนี้แหละ เข้าท่าที่สุดแล้ว