บุพเพสันนิวาส 1
การทำงานที่แสนทรหดก็เริ่มขึ้นหลังจากพี่ชายบินไปเที่ยวต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย บุณณดาจึงต้องดูแลงานในส่วนของพี่ชายควบคู่ไปด้วย แต่นั่นก็ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับเลขาสาวของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้นำสติมาทำงานด้วย เพราะงานที่พิมพ์มาส่งนั้นตกหล่นคำผิดคำถูกผสมกันมั่วจนความหมายแทบเปลี่ยนไปจากเดิม
“แพรวเข้ามาพี่หน่อย” ยกหูโทรศัพท์กรอกเสียงลงไปตามสาย เรียกเลขาสาวที่เข้ามาทำงานได้ร่วมสองปีเข้ามาพบในห้องทำงาน
“แพรวมาแล้วค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าซีดเซียว ขอบตาบวมช้ำของแพรวพรรณ สะดุดตาผู้เป็นเจ้านายอย่างช่วยไม่ได้
“นั่งก่อนสิ” เสียงเรียบทว่าทรงอำนาจเอ่ยสั่งออกไป แพรวพรรณจึงเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเจ้านายสาว ที่บางเวลาก็เป็นพี่สาวที่น่ารัก คอยบอกคอยสอนเรื่องงาน รวมไปถึงเรื่องส่วนตัว
โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตัวให้นำสมัย ไม่ใช่แพรวพรรณที่ใส่แว่นสายตาหนามาทำงาน ใส่กระโปรงยาวถึงเข่าคู่กับเสื้อคอบัวแขนสั้นและรองเท้าส้นเตี้ย
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ใบหน้าที่ก้มลงมองมือตัวเองส่ายไปมาช้าๆ
“ไม่มีค่ะ”
“แน่ใจนะ” ย้ำออกไปอีกครั้งด้วยเสียงที่เข้มขึ้น หรี่ตาเรียวมองคนตรงหน้าอย่างจับพิรุธและคาดคั้นเอาคำตอบในเวลาเดียวกัน
แม้จะทำงานร่วมกันได้เพียงสองปี ทว่าบุณณดาเป็นคนช่างสังเกตและเก็บรายละเอียดของแต่ละบุคคลได้ดี ทำไมจะไม่รู้ว่าคนที่นั่งก้มหน้ามีอุปนิสัยอย่างไร และสิ่งที่เอ่ยมานั้นจริงหรือโกหก
คนถูกถามยังคงนั่งเงียบไม่กล้าบอก ทว่านัยน์ตากลับแดงก่ำ ขอบตาเอ่อคลอด้วยน้ำตา มือที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“แพรวเป็นลูกน้องพี่ และพี่ก็รักแพรวเหมือนน้องสาว มีเรื่องไม่สบายใจอะไรทำไมต้องโกหก คิดว่าตัวเองโกหกเก่งขนาดนั้นเลยใช่ไหม” น้ำตาเม็ดโตกลิ้งลงบนแก้มทั้งสองข้าง ก้อนสะอื้นวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ ร่างบางเริ่มสั่นเทิ้มเพราะกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ดังออกมา
บุณณดาลุกขึ้นเดินเข้ามาหา รั้งร่างบางเข้ามากอด ลูบแผ่นหลังบางเป็นการปลอบประโลม โดยปราศจากคำพูดทั้งสิ้น มีเพียงเสียงสะอื้นไห้และเสียงสูดน้ำมูกของคนที่นั่งร้องไห้เท่านั้นที่ดังออกมาในเวลานี้ โดยที่บุณณดาก็ไม่คาดคั้นเอาคำตอบ ปล่อยให้แพรวพรรณระบายความอัดอั้นให้พอใจเสียก่อน
และจากเหตุการณ์ในช่วงเช้านำพาให้สองสาวมาอยู่ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงย่านรัชดาฯ สถานบันเทิงที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เสียงเพลงที่เปิดคลอในทำนองเพลงรักผสมเสียงอกหัก ยิ่งทำให้หญิงสาวที่นั่งดื่มตั้งแต่หัวค่ำ ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างทำนบแตก
“แพรว พี่ว่าแพรวหยุดร้องก่อนไหม ร้องทั้งวันยังไม่พออีกหรือไง” คนที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายสาวผ่านม่านน้ำตา
“พี่ต้องไม่มีแฟน พี่ต้องไม่รู้หรอกว่าการอกหักมันเป็นยังไง มันเจ็บแค่ไหน เห็นคนที่เรารักเดินไปกับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าต่อตา เจ็บ มันเจ็บตรงนี้” มือเล็กตีลงบนหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง จิ้มนิ้วลงไปย้ำๆ ต้องการบอกให้บุณณดารู้ว่าที่เจ็บนั้นคือตรงไหน
“มันเจ็บไปหมด เหมือนใจมันจะขาดให้ได้ ทำไมอะพี่ต้อง แพรวไม่สวยเหรอ แพรวไม่เด็ดหรือไง ตอนเอากันแพรวก็ขึ้นให้ อยากให้แพรวเลียแพรวอมแพรวก็ทำให้ อมจนมันดังอ๊อกอะพี่ต้อง” บุณณดากลืนน้ำลายดังเอือก หน้าร้อนวูบวาบ ยกแก้วค็อกเทลในมือขึ้นจิบ รู้สึกคอแห้งขึ้นมากับประโยคนั้นแพรวพรรณ
ทั้งเลียทั้งอมเลยอย่างนั้นเหรอ คิดดีไม่ได้เลยสินะกับประโยคนี้
“แล้วทำไมอะ มันไม่ถึงใจเหรอ พี่นุถึงได้ทิ้งแพรวไปกับอีนั่น มันดีกว่าแพรวตรงไหนพี่ต้อง ที่แพรวเห็นก็มีดีแค่นมใหญ่แค่นั้น ถ้าอยากได้นมใหญ่ทำไมไม่บอก เดี๋ยวแพรวจะไปเสริมมาให้ จะเอาใหญ่แค่ไหน หัวเด็กไหมหรือลูกมะพร้าวบอกมาสิ ทำไมไม่บอก” คนถูกทิ้งยังคงร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มอึกๆ ราวกับมันคือน้ำเปล่า
บุณณดาก็ได้แต่ส่ายหน้า พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่สินะ พิษของความรัก เจ็บปวดปางตาย รักมากก็ยิ่งเจ็บมากเป็นธรรมดา
“ถ้าเขาไม่รัก เราก็ปล่อยเขาไปสิแพรว ดีซะอีก เราจะได้คัดคนไม่ดีออกไปจากชีวิตเรา เลิกกันวันนี้ดีกว่าแต่งงานกันไปแล้วเลิกนะ วันนั้นแพรวจะยิ่งเสียใจมากกว่านี้อีก”
"มันก็ใช่ แต่ทำไมเขาไม่บอกสาเหตุที่เลิกล่ะพี่ต้อง ถามอะไรก็บอกแต่เราเข้ากันไม่ได้ เข้าไม่ได้ยังไง เราเข้ากันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เข้ากันได้ดียิ่งกว่าอะไรเสียอีก แล้วมาพูดว่าเข้ากันไม่ได้คืออะไร โห่” บุณณดาก็เริ่มชักจะหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อลูกน้องของเธอฟูมฟายไม่เข้าใจอะไรเสียเลย
ทีแรกก็ว่าจะพามาดื่มปลอบใจแก้เครียด แต่ตอนนี้คงต้องจัดยาชุดใหญ่ให้ซะแล้ว จะได้มีสติและเลิกฟูมฟายกับความรักห่วยๆ จากผู้ชายเฮงซวยนั้นเสียที
“แพรวฟังพี่นะ ที่ผู้ชายคนนั้นมันบอกว่าเราเข้ากันไม่ได้เนี่ย มันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ที่จริงคือมันหมดรักแพรวแล้ว มันไม่ได้รักแพรวแล้ว เพราะถ้ามันรักมันจะไม่นอกใจแพรวไปมีผู้หญิงคนอื่นเลย และที่แพรวบอกว่าเราเข้ากันได้ดีมากเนี่ย ผู้หญิงคนใหม่ของมันอาจจะเข้ากันได้ดีมากกว่าก็ได้ มันถึงตัดสินใจมาเลิกกับแพรวไง อ๋อ! และที่บอกว่าแพรวก็เลียก็อมเนี่ย ผู้หญิงคนนั้นมันอาจจะกลืนลงท้องไปเลยก็ได้นะ แฟนแพรวถึงติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเลิกร้องไห้ฟูมฟายได้แล้ว ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง หรือถ้าไม่อายก็ควรจะสงสารพ่อแม่บ้างที่ท่านสองคนเลี้ยงเรามาด้วยความรัก ไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อให้เรามานั่งร้องไห้เสียใจ เพราะผู้ชายเฮงซวยที่มันทิ้งเราไปแบบนี้ ที่พี่พูดเนี่ยเข้าใจไหม” ร่ายคาถายาวเหยียดเสียงดังฟังชัดแข่งกับเสียงเพลงออกไปจนคอแห้ง ต้องยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบ
ส่วนคนถูกสั่งสอนเตือนสติก็นั่งนิ่งน้ำตาไหลพรากอยู่เงียบๆ มองผ่านไหล่บุณณดาไปด้านหลังอยู่อย่างนั้น
“แพรว” บุณณดาเรียกลูกน้องตัวเองออกมา พร้อมทั้งยื่นมือมาจับมือหญิงสาวไว้ ด้วยความสงสารเมื่อเห็นแพรวพรรณเงียบไป คงเป็นเพราะกำลังคิดทบทวนในสิ่งที่เธอออกไปอยู่แน่
“พี่นุ” เสียงสั่นเครือเอ่ยเรียกชื่อคนรักออกมา ทำให้บุณณดาหันขวับกลับไปมองยังด้านหลัง และก็พบว่ามีผู้ชายกำลังเดินเข้ามาที่โต๊ะของเธอ
นี่อย่าบอกนะ...
“แพรว พี่ขอโทษ” คนถูกขอโทษปล่อยโฮออกมาราวใจจะขาด ชายหนุ่มที่ชื่อนุเห็นแบบนั้นก็ตั้งท่าจะเดินเข้ามาหา บุณณดาจึงลุกเข้ามาขวางไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ จะทำอะไรแพรว ถ้าจะมาทำให้แพรวเสียใจก็กลับไปเลยไป กลับไปหาผู้หญิงของนายนู่น ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับแพรวอีก ผู้ชายห่วยๆ อย่างนายมันก็เหมาะสมกับผู้หญิงชุ่ยๆ คนนั้นแล้วล่ะ ผีเน่ากับโลงผุ ไปเสวยสุขกันบนต้นงิ้วเถอะไป ไป๊” ตวาดไล่เสียงดัง ทั้งโมโหทั้งโกรธเคืองแทนเลขาตัวเอง
“พี่รักแพรว” สามคำที่เอ่ยออกมาทำให้แพรวพรรณลุกจากเก้าอี้ เดินผ่านบุณณดาเข้ามาหาแฟนหนุ่ม
“พี่นุ”
“พี่ขอโทษ ให้โอกาสพี่แก้ตัวได้ไหม พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำแบบนี้อีก พี่รู้แล้วว่าไม่มีผู้หญิงดีเท่าแพรวอีกแล้ว พี่มันโง่ที่ทิ้งแพรวไป ให้โอกาสพี่นะ” บุณณดาฟังแล้วก็เลือดขึ้นหน้า คิดได้ในวันที่สายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ ตอนที่ทิ้งเขาไปทำไมคิดไม่ได้ย่ะ
“คิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ เพราะแพรวเขาไม่กลับไปหาผู้ชายเลวๆ อย่างนายละ...”
“แพรวให้โอกาสพี่นุค่ะ แพรวรักพี่นุ” บุณณดาเหมือนถูกตบหน้าเข้าฉาดใหญ่จนหน้าชา แทบเสียหลักทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเสียตรงนี้
“แพรว” หวังจะเรียกให้สติของแพรวพรรณกลับมาแต่เปล่าเลย
“แพรวรักพี่นุ แพรวอยากให้โอกาสพี่นุแก้ตัว พี่นุเขารู้แล้วว่าเขาผิด เราก็ควรจะให้โอกาสเขาไม่ใช่เหรอพี่ต้อง”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย แล้วที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายเมื่อกี้ล่ะแพรว ฮัลโหล! คืออะไร
“แต่ว่า...”
“แพรวครับ เรากลับบ้านกันเถอะนะ อย่ามาเสียเวลาอยู่ที่นี่อยู่เลย” บุณณดายกมือเท้าเอวมองผู้ชายตรงหน้าตาขวาง ตอนนี้เธอพร้อมบวกมากขอบอก ที่บอกว่าเสียเวลานี่คือคงไม่ได้หมายความถึงเธอหรอกใช่ไหม
“ค่ะพี่นุ... พี่ต้องคะ แพรวกลับก่อนนะคะ ขอบคุณมากนะคะที่พาแพรวมาคลายเครียด แพรวกลับก่อนนะคะ” ฉวยกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนเก้าอี้มาถือไว้ และเดินจากไปพร้อมกับชายคนรัก
ทิ้งบุณณดาให้มองตามหลังไปด้วยความคับแค้นและเจ็บใจ อาหารเม็ดชนิดต่างๆ ลอยมาตรงหน้าเธอเสียแล้ว เหลือแค่เทลงใส่ถ้วยก็พร้อมรับประทานได้ในทันที กระแทกบั้นท้ายงามลงบนเก้าอี้ ยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
นี่สินะที่โบราณเขาว่าไว้ ว่าเรื่องของผัวเมียอย่าแส่เข้าไปยุ่ง เพราะเวลาเขาคุยกับเราเขานั่งคุยแต่เวลาเขาคุยกันเขานอนคุย ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น
“เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ อยากเป็นหมาขึ้นมาซะงั้น ยัยต้องนะยัยต้อง”