ตอนที่ 4 | คู่หมั้น
วันต่อมา
@บ้านจางเหว่ย
“ซอสใส่อะไรอีกคะแม่” หญิงสาวรูปร่างอวบอั๋นไว้ผมสั้นถึงต้นคอ คาดด้วยที่คาดผมอย่างน่ารักแก้มตุ่ย ๆ ช่างน่าหยิกยืนอยู่หน้าเตาไฟฟ้า กำลังใช้ทัพพีคนซอสสำหรับราดสเต๊กปลาแซลมอนในกระทะอย่างตั้งใจ เธอทำอาหารไม่เป็นและไม่ชอบทำ แต่เพราะคนพิเศษถึงได้ลงมือทำด้วยตัวเอง
“โรยพริกไทยปิดท้ายแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” ดาวิกาที่กำลังหั่นกะหล่ำปลีสีม่วงเอ่ยตอบลูกสาว
เยว่ชินอยู่ในชุดธรรมดาเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นคุมทับด้วยผ้ากันเปื้อน เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดขนาดเล็กที่มีชื่อเขียนบอกชัดเจนบนชั้นวางเครื่องปรุง “ใส่เยอะปะคะแม่?”
“พอดีจ๊ะ”
เยว่ซินโรยพริกไทยลงในกระทะอย่างเบามือ เมื่อได้อย่างต้องการแล้วจึงคนส่วนผสมอีกรอบ หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถึงขั้นตอนจัดวางแซลมอนพร้อมเครื่องเคียงลงกล่องอาหาร
“เรียบร้อย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางตบมือแปะ ๆ เบา ๆ รู้สึกภาคภูมิใจในฝีมือของตัวเอง
“ลูกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดปะ เดี๋ยวที่เหลือแม่จัดการเองค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เยว่ซินเดินเข้าไปหอมแก้มผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่ แล้วถอดผ้ากันเปื้อนยื่นให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จากนั้นจึงสับเท้าวิ่งออกไปทันที โดยมีเสียงเอ็ดของผู้เป็นดังตามหลัง
“อย่าวิ่งแบบนั้นสิลูก เดี๋ยวก็ล้มเอาหรอก!”
“โตแล้วยังกระโดกกระเดกอีก ลูกฉัน” ดาวิกาส่ายหน้าไปมาเอ็นดูลูกสาวจอมแก่นที่แม้อายุยี่สิบห้าแล้ว แต่ยังมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยที่ซุกซน
โรงพยาบาล วรเชษ
รถแท็กซี่ขับเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลชื่อดัง…
“แปดสิบบาทนะคะ” เยว่ซินสวมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายดอกเดซีสีม่วง ยัดชายเสื้อเข้าใต้กางเกงยีนขาสั้นเพิ่มดีเทลด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลราคาแพง ยื่นแบงก์ยี่สิบให้สี่ใบให้คนขับแท็กซี่ ตามที่เห็นในมิตเตอร์ก่อนที่ล้อรถจะจอดสนิท ซึ่งตอนนี้หน้าจอมิตเตอร์ดับไปเสียแล้ว
“ร้อยสิบบาทครับ”
“ใช่เหรอคะ เมื่อกี้หนูยังเห็นมิตเตอร์ขึ้นแปดสิบบาทอยู่เลย”
“พอดีมิตเตอร์มันเสียน่ะ!” ลุงวัยห้าสิบต้น ๆ มีสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แต่เยว่ซินยังเถียงสู้สุดใจเพื่อความถูกต้อง
“ถ้ามันเสียจริง ๆ ตัวเลขบนมิตเตอร์คงไม่ขึ้นเรื่อย ๆ หรอกค่ะ คิดจะโกงหนูเหรอคะลุง”
“โกงเกิงอะไรกัน! รีบ ๆ จ่ายแล้วลงไป”
“ไม่จ่าย!” เยว่ซินยืนกรานเสียงแข็งอย่างไม่ยอมถูกเอาเปรียบ เธอวางเงินบนเบาะ มือคว้าถุงกระดาษใส่กล่องอาหารแล้วเปิดประตูลงทันทีกระแทกปิดประตูอย่างหัวร้อน แต่คนขับแท็กซี่ดันไม่ยอมจบ ตามลงมาทวงเงินที่เหลือ
“จ่ายค่าแท็กซี่มาให้ครบสิแม่หนู!”
“ไม่ให้! อยากได้ก็ไปแจ้งความเอา! จะได้รู้ไปเลยว่าใครกันแน่ที่โกง กล้าเสี่ยงไหมล่ะคะ” เยว่ซินยิ้มเยาะพลางยกโทรศัพท์มือถือในมือที่ถือไว้ตลอดเวลาขึ้นมาโชว์เชิงต้องการให้ลุงเชื่อว่าเธอมีหลักฐานบางอย่างจริง ๆ ทำเอาคนขับแท็กซี่กัดฟันดังกรอดโมโหจนหน้าสั่นเพราะไม่กล้าเสี่ยง ก้าวเท้าเดินหวังจัดการกับเด็กแสบ…
“จ่ายมา!”
“ช่วยด้วยค่ะ! ลุงคนนี้จะทำร้ายค่ะ! แถมยังโกงเงินค่าแท็กซี่อีก!” ขณะเดียวกันผู้คนที่เดินผ่านไปมาละแวกนั้นต่างให้ความสนใจเพราะเสียงที่เธอตะโกนดังลั่น จนคนขับแท็กซี่อับอายและกลัวความผิด รีบวิ่งขึ้นรถขับออกไปอย่างไว
“เหอะ!คิดว่าจะโกงคนอย่างเยว่ซินได้เหรอ ไม่มีทางซะหรอก” ยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะสาวเท้าเดินบนรองเท้าผ้าใบสีขาวพลางสะบัดผม เข้าโรงพยาบาลอย่างมั่นใจในตัวเอง เธอจัดแต่งทรงผมสั้น ดัดลอนปลาย แต่งเติมใบหน้าด้วยเครื่องสำอางเล็กน้อย เพื่อความสวย
“สวัสดีค่ะ” เยว่ซินเดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ พยาบาลสาวกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร
“หมอธามไทอยู่ห้องตรวจไหนคะ?”
“เออ…ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิงมีนัดกับผ.อ.หรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีค่ะ ฉันเอาข้าวเย็นมาส่งให้พี่ธามน่ะค่ะ” สรรพนามที่ดูสนิทสนมทำให้พยาบาลสาวเงียบไปสักพัก เยว่ซินที่เห็นสีหน้าสงสัยของพยาบาลสาวเธอจึงแนะนำตัวให้กระจ่าง “ฉันชื่อเยว่ซินนะคะ เป็นคู่หมั้นพี่ธามค่ะ”
“คู่หมั้น?” พยาบาลสาวเบิกตากว้างเล็กน้อยตกใจกับสถานะของหญิงสาว เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมอหนุ่มเจ้าของโรงพยาบาลมีคู่หมั้นแล้ว อีกทั้งรูปร่างและน่าตาของหญิงสาว ดูแล้วไม่น่าใช่สเปคของหมอหนุ่ม แต่รวม ๆ แล้วถือว่าน่ารักใช้ได้ โดยเฉพาะเวลายิ้มดูมีเสน่ห์น่าค้นหา
“ค่ะ คราวนี้บอกได้หรือยังคะว่าพี่ธามอยู่ห้องตรวจไหน?” เธอรู้ว่าพยาบาลสาวกำลังคิดยังไงกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่เธอก็ไม่เก็บมาใส่ใจเพราะโดนจนชิน
“ค่ะ” พยาบาลสาวตอบรับพลางพยักหน้าหงึก ๆ อย่างตกใจไม่หาย “แต่คุณหมอติดเคสผ่าตัดอยู่นะคะ ดิฉันว่าน่าจะนานอยู่ค่ะ เพราะเพิ่งเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อนนี้เองค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งรอในห้องก็ได้ค่ะ” เมื่อได้รับคำตอบเธอจึงเดินไปตามทางที่พยาบาลสาวบอก
….
เธอผลักประตูเข้าห้องตรวจของคู่หมั้นสุดหล่อ กรวดตามองภายในห้องสีขาวสะอาดตา พลางวางของในมือบนโต๊ะกระจกตรงหน้าโซฟารับแขก ข้าวของทุกอย่างภายในห้องถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างไม่มีที่ติ
“หน้านิ่งเชียวยิ้มให้กล้องหน่อยก็ไม่ได้” จิ๊ปากใส่กรอบรูปในมือที่หยิบขึ้นมาจากโต๊ะทำงานด้วยท่าทางหมั่นไส้ ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีขาวคุมทับด้วยเสื้อกาวน์ใบหน้าหล่อเรียบนิ่งเย็นชา แต่เท่ไม่เบา
เยว่ซินนั่งรอหมอหนุ่มบนโซฟาตัวยาวนานถึงสามชั่วโมงจนผล็อยหลับไป…
แกร๊ก
ธามไทอยู่ในชุดแพทย์สีฟ้า ผลักประตูเข้าห้องทำงานตัวเองด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้ากับเคสผ่าตัดหัวใจที่ยากพอสมควร แต่เมื่อเห็นว่าคนที่นอนหลับตะแคงข้างอยู่บนโซฟาตัวยาวเป็นใคร คิ้วหนาถึงกับขมวดเข้าหากันเป็นปม ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองถุงกระดาษที่วางบนโต๊ะกระจกนิ่ง ๆ แล้วเดินผ่านไปที่โต๊ะทำงาน โดยไม่คิดปลุกคนที่หลับสนิท
เยว่ซินที่หลับลึกสะดุ้งตัวตกใจพลางเบิกตาโพล่งอัตโนมัติ เพราะรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ส่งผลให้หัวใจเต้นถี่เร็ว เธอถอนหายใจหนัก ๆ อย่างโล่งอก แล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าหล่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเงียบ ๆ กำลังเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษเอสี่
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วทำไมไม่ปลุกซิน!” แหวใส่คนเย็นชาอย่างโมโห หากเธอไม่ตื่นขึ้นมาเองเขาคงปล่อยให้นอนอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า แต่คำถามกลับไร้ซึ่งคำตอบเช่นเคย เธอกระทืบเท้าเดินไปกระชากปากกาออกจากมือหนาอย่างถือวิสาสะ
พรึ่บ!
“เอาปากกาคืนมา” การกระทำไร้มารยาทของเธอทำเอาหัวร้อน
“เรื่องที่ปล่อยให้ซินหลับจนถึงสองทุ่มซินไม่ถือโทษก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่พี่ต้องกินข้าวเย็นแล้วค่ะ” เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาอำมหิตที่คนตัวสูงมองมา
“บอกให้เอาปากกาคืนมา”
“ไม่คืนจนกว่าพี่จะกินอาหารที่ซินเตรียมมา สเต๊กปลาแซลมอนของโปรดพี่เชียวน้า~ ซินตั้งใจทำให้พี่โดยเฉพาะ”
ธามไทพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างรำคาญ สุดท้ายต้องยอมกินสเต๊กปลาแซลมอนอย่างจำใจ เพราะต้องทำงานที่ค้างให้เสร็จ ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ