บทที่ 13
“แหวนหมั้น!”
คำคำนี้ติดอยู่ในใจผมมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผมได้พบและคุยกับเธอเมื่อคลาสเรียนรวม
ครั้งแรกที่ได้ยินเธอพูดคำคำนี้ ใจผมมันชาไปหมด พูดอะไรไม่ออก เพราะมัวแต่ตกใจกับคำพูดของเธอ จนกระทั่งเธอเดินออกไปและเพื่อนผมเข้ามาผมก็ยังไม่รู้ตัว
คำว่าแหวนหมั้นมันลอยวนอยู่ในหัวผมไม่จางหาย กระทั่งเพื่อนทั้งสามของผมสะกิดเรียกผมนั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว
เมื่อตั้งสติได้ผมก็ถามพวกมันทั้งสามทันทีว่าพวกมันรู้เรื่องที่น้ำทิพย์หมั้นหมายหรือเปล่า หมั้นกับใครเมื่อไหร่ ตอนที่ผมถามพวกมันผมยังคาดหวังกับคำตอบว่าเธอคงไม่ได้หมั้นจริง ๆ เธอคงแค่โกหกผมเพื่อที่จะไม่ให้ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตเธออีก
แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของพวกมันความหวังของผมก็ดับวูบ ใจผมตกลงไปที่ตาตุ่ม ถึงแม้พวกมันจะไม่รู้ว่าเธอหมั้นกับใคร แต่พวกหมั้นบอกได้ว่าเธอหมั้นแล้วจริง ๆ เพราะเรื่องนี้แฟนของพวกมันทั้งสามคนเพิ่งเป็นคนบอกพวกมันก่อนที่พวกมันจะเข้ามาหาผมด้านในห้องเอง
ผมจำได้ว่า ตอนนั้นผมเหม่อลอยไปทันทีที่ได้ยินคำตอบจากทั้งสาม
ทั้งนี้พวกมันยังขอโทษผมด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ และไม่ได้บอกเรื่องการหมั้นหมายของน้ำทิพย์ เพราะมันก็เพิ่งรู้เช่นกัน ผมไม่ได้โกรธพวกมันเลยสักนิด ค่อนข้างที่จะเข้าใจเพราะผมมั่นใจว่าแฟนของพวกมันหรือเพื่อนของเธอทั้งสามคงไม่มีวันปริปากบอกเพื่อนผมแน่นอน
ตอนนี้ผมทำได้เพียงเก็บตัวอยู่ในห้อง กินแล้วก็นอนเท่านั้น ฝึกงานก็ไม่ได้ไปฝึก เพราะผลจากคำว่าแหวนหมั้นคำเดียว ทำเอาคนที่ใช้ชีวิตที่ดีอย่างผมเป๋ไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ถ้าเธอเห็นสภาพผมตอนนี้เธอคงสมเพชผมน่าดู เพราะผมยังสมเพชตัวเองเลย
ปัจจุบันผมยังคิดไม่ตกว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป จะกลับเข้าไปในชีวิตเธอก็ไม่ได้ ถึงอยากทำมันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น ผมเฝ้าถามตัวเองทุกวันว่าผมอยู่โดยไม่มีเธอได้ไหม
คำตอบคืออยู่ได้ แต่มันไม่มีความสุข
เหมือนกับว่ามีชีวิตแต่ไม่มีจิตวิญญาณ
ทางเดียวที่จะสามารถเข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ของผมได้ก็มีแค่เธอ เธอคนเดียวเท่านั้น
ด้วยความที่อยู่กับตัวเองมาหลายวันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ถึงเธอจะหมั้น แต่มันก็เป็นแค่การหมั้นเท่านั้นเธอยังไม่ได้แต่งงาน และที่ผมเคยขอโอกาสจากเธอ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเมื่อไหร่ เพียงแต่ว่าผมต้องตัดขาดจากน้องดา ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก
คำพูดนี้มันชัดเจนมาก เพราะเธอบอกว่าถ้ามีน้องดาก็ไม่มีเธอ มันแปลเป็นอะไรไม่ได้นอกจากว่าผมต้องเลือก
แน่นอนว่าผมเลือกเธอ แต่ผมก็ตัดขาดจากคนที่ผมเอ็นดูว่าเป็นน้องสาวที่น่ารักไม่ได้เช่นเดียวกัน ผมรู้ว่าความต้องการของผมมันค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว แต่ถ้าให้เลิกข้องเกี่ยวกับน้องดาทั้ง ๆ ที่เธอไม่มีความผิด ผมก็ทำไม่ได้
ทั้งนี้ผมยังใช้เวลาที่ผ่านมาได้ทบทวนกับการกระทำของตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย และก็เห็นด้วยกับคำพูดของน้ำทิพย์และเพื่อนของผม ที่ผมละเลยเธอเกินไป
ผมให้ความสนใจกับคนอื่นมากกว่าเธอ เทนัดเธอแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น ถึงผมจะบริสุทธิ์ใจ แต่มันก็ไม่ใช่การกระทำของแฟนที่ดี ยิ่งทบทวนก็ยิ่งรู้สึกโกรธและโมโหตนเองที่ทำอะไรสิ้นคิดเกินไป
เฮ้อ ถ้าเธอให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมสาบานเลยว่าผมจะปรับปรุงตัวและไม่เห็นใครสำคัญไปกว่าเธออีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เพื่อนรักทั้งสามคนของผมก็เบียดตัวเข้ามาในห้อง
ผมมองพวกมันด้วยความสงสัยว่ามันมาทำอะไรที่นี่ เพราะเท่าที่ผมจำได้ ตอนนี้มันควรฝึกงานอยู่ และที่สำคัญเราก็ไม่ได้นัดคุยอะไรกันสักหน่อย แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมพวกมันถึงโผล่มา
“ไม่ต้องสงสัย พวกกูมาดูสภาพมึง งานก็ไม่ไปฝึก มึงอยากเรียนอีกปีรึไง”
ไอ้วินเป็นคนเปิดปากคนแรก นั่นทำให้ผมถึงบางอ้อทันทีว่าทำไมพวกมันถึงพากันมาที่นี่
“กูมีเรื่องเครียดและต้องให้คิดนิดหน่อยเลยไม่ได้ไปฝึกงาน แต่เรื่องนั้นพวกมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูจัดการได้” ผมตอบพวกมันให้คลายกังวล
“เรื่องนั้นพวกกูรู้ แต่ที่กูมาที่นี่คืออยากรู้ว่ามึงตายรึยัง” ผมตวัดสายตาไปมองไอ้ดินทันทีที่รู้สึกว่าคำพูดของมันเหมือนต้องการให้ผมตาย
“สบายใจได้ กูยังไม่ตาย” ผมพูดยิ้ม ๆ แล้วพวกมันก็ยักไหล่ก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาคนละมุม
“ดีแล้ว ว่าแต่มึงทำใจได้” ไอ้พายุเป็นคนถาม ผมส่ายหน้าให้มันพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
“ทำใจไม่ได้แล้วจะทำยังไง”
“ก็อย่างที่เคยบอกว่ายังไงซะ กูก็จะทวงของกูคืนถึงเธอจะหมั้นแล้วก็ตามที”
“อืม ด้านดีสมเป็นมึง”
“ไอ้พายุ! นี่มึงด่ากู”
“อืม” ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ใครใช้ให้ไอ้บ้านี่พูดน้อยต่อยหนักล่ะ คนที่ปรามมันได้เห็นทีคงมีแค่น้ำมนต์เท่านั้น