บทที่ 2
“อะไรนะครับแม่!!”
“จะเสียงดังอะไรนะทัพ แม่กับพ่อตกใจหมดแล้วนะ” เสียงของมารดาดังขึ้นภายในโต๊ะอาหารเช้าของวัน ผมวางช้อนในมือลงก่อนยกน้ำส้มคั้นสดขึ้นดื่ม
“ผมไม่เห็นด้วยเลยนะครับ ถ้าจะเอาเด็กมาฝึกงานให้ไปฝึกที่แผนกไหนก็ได้ ผมไม่ว่างแต่นี่จะให้มาเป็นเลขาผม แม่ลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ผมมีเลขาแล้วนะครับ”
“น้องมาฝึกงาน ให้น้องฝึกงานกับเลขาลูกก็ได้ มีเลขาสองคนจะได้ช่วยงานให้เร็วขึ้นไงลูก”
“เธอพึ่งยี่สิบเองนะครับ ผมเป็นผู้บริหารที่มากประสบการณ์ เด็กแบบนั้นจะมาทำงานร่วมกับผมได้ไงครับ แล้วอีกอย่างเธอก็มีบริษัทฯ อยู่แล้ว ทำไมต้องเป็นบริษัทฯ เราด้วยครับ”
“เอาน่า ยังไงก็คนกันเอง น้องยังเด็ก เราควรดีใจที่ได้สอนน้องให้เก่งเหมือนตัวเอง พ่อว่ามันก็ดีนะ จะได้มีคนมาช่วยอีกแรง อย่าตัดสินคนอื่นก่อนที่จะได้เห็นการกระทำของเขา มันอาจไม่ได้แย่อย่างที่ลูกคิดก็ได้” พ่อของผมพูดขึ้น แต่ใครจะสนใจ ผมไม่อยากเอาเวลาที่แสนมีค่า ไปเสียเวลากับอะไรที่ไม่มีผลประโยชน์
“นะลูกนะ ถ้าลูกเจอน้องต้องชอบแน่ๆ น้องน่ารักสวยมากด้วยนะ แม่เจอหลายครั้ง มารยาทดีมาก” แม่ผมพูดพร้อมยิ้ม
“นี่ไม่ใช่จะหาเมียให้ผมนะครับ” คุณหญิงดวงแก้วสำลักน้ำออกมา เหมือนผมจี้จุดแม่ได้ “ผมบอกแม่หลายครั้งแล้วนะครับ ผมไม่มองใคร เพราะผมมีคนที่ชอบแล้ว แม่ล้มเลิกความคิดที่จะเอาผู้หญิงใส่พานมาให้ผมเลือกสักทีเถอะครับ”
“นี่ตาทัพ ถึงแม่จะอยากให้แกแต่งงานมากแค่ไหน แม่ก็ไม่เอาหลานเพื่อนมาให้ลูกดูตัวหรอกนะ แม่บอกแล้วไง ว่าน้องมาฝึกงานจะคิดมากไปถึงไหน แล้วอีกอย่างผู้หญิงที่ลูกเลือกไม่เคยเห็นเป็นห่วงลูกเลยสักครั้ง เอาแต่เดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ไม่มีเวลาให้ลูก แม่ถามจริงๆ ลูกมีความสุขแน่เหรอ”
น้ำเสียงของแม่ดูจริงจังกว่าทุกครั้ง แม่วางช้อนในมือลงก่อนลุกเดินหนีออกจากโต๊ะอาหาร ผมก็ไม่มีอารมณ์มาทานข้าวต่อเช่นเดียวกัน
“อย่าคิดมากเลย ที่แม่พูดเพราะเป็นห่วง พ่อกับแม่ก็แก่ลงไปทุกวัน อยากจะอุ้มหลานเห็นแกเป็นฝั่งเป็นฝาสักที อายุจะเข้าเลขสามแล้วนะ ยังไงพ่อก็อยากให้แกเก็บไปคิดและวางแผนชีวิตครอบครัวของตัวเองดีๆ บ้าง”
ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนลุกเดินออกไปจากโต๊ะทานข้าว ผมเดินมาหาแม่ที่นั่งดูข่าวทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ท่านปรายตามองผมเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ เป็นอาการงอนของแม่ผม
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ก็รู้ผมไม่เคยขัดใจแม่ แต่ผมขอเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นนะครับ”
“.....”
“หายงอนผมนะครับ เอาเป็นว่าผมรับเด็กคนนั้นเข้าฝึกงานก็ได้ครับ แต่ถ้าเธอสอนยังไงก็ไม่ได้เรื่อง ผมจะเลิกสอนทันที”
“พอเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ บริษัทฯ เป็นของลูก คนเป็นแม่จะทำอะไรได้”
“เลิกน้อยใจเถอะครับ ส่วนเรื่องมิเกลผมจะรีบจัดการ ตอนนี้เธอเดินสายทัวร์ ผมก็ยุ่งๆ เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ผมจะพาเธอมาหาแม่ดีไหมครับ” ผมสวมกอดมารดาด้วยความรัก ท่านตบมือลงบนแขนของผมเบาๆ
“แบบนี้มีความสุขแน่เหรอ ลูกโอเคไหม แม่อดห่วงไม่ได้ อะไรที่ฝืนตัวเองก็พอเถอะลูก มันจะทำให้เรายิ่งเหนื่อย”
“ผมเข้าใจครับ ตอนนี้ผมมีความสุขดีครับ แม่ไม่ต้องห่วง”
“รู้ไหม คนเป็นแม่ เมื่อเห็นลูกมีความสุขแม่ก็มีความสุข แต่เมื่อใดที่เห็นลูกมีความทุกข์ แม่ยิ่งทุกข์ใจมากกว่าลูกหลายเท่านัก ชีวิตคนเราอยู่ไม่ค้ำฟ้าหรอก อย่าทำงานหนักมากนัก พักบ้างก็ได้ พักวันหนึ่งบริษัทฯ ไม่ขาดทุนหรอกลูก”
ผมทำงานหนักมานานหลายปี จนติดเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของผม ทุกที่ทุกเวลามันคือนาทีทำเงินผมคิดแบบนี้มาตลอด ถึงบริษัทฯ จะอยู่ตัว แต่ผมก็ยังคงทำงานหนัก หรืออาจจะหนักมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ผมคุยกับแม่อยู่ไม่นานก็ขอตัวออกมาทำงาน เพราะนี้ก็สายมากแล้ว ในทุกวันผมจะเดินทางมาถึงบริษัทฯ ไม่เกินเก้าโมงเช้าของทุกวัน หรือถ้าสายก็ไม่เกินสิบโมงเช้า
“สวัสดีค่ะบอส” ประตูห้องทำงานของผมถูกเปิดออกลักยิ้มเป็นเลขาเพียงคนเดียวที่ผมไว้ใจมากที่สุด เธอเป็นสาวทอมบอยที่ใบหน้าหล่อถ้าไม่ใช่คนสนิทจะไม่มีคนรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เพราะลักยิ้มแต่งตัวเหมือนผู้ชายไม่มีผิดเพี้ยนพร้อมทรงผมถูกเซ็ทเข้ารูปกับใบหน้าของเธอ “ยิ้มขอแจ้งตารางงานวันนี้เลยนะคะ”
ผมยกมือขึ้นห้ามก่อนนั่งลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เธอมองมาที่ผมอย่างสงสัย ว่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญไปมากกว่าแจ้งตารางงานประจำเหมือนทุกวันของตัวเอง
“มีนักศึกษามาฝึกงานไหม”
“ปกติก็มีมาประจำนะคะ ปีนี้ก็มีมาสามคนเป็นผู้ชายสองและผู้หญิงหนึ่งค่ะ”
“ผมมีเรื่องให้คุณช่วย จะมีเด็กมาฝึกงาน ผมจะให้มาเป็นผู้ช่วยคุณ เธอเป็นเด็กฝากของแม่ผม ยังไงช่วยคุณสอนงานให้เธอด้วยแล้วกัน”
“รับทราบค่ะ” ลักยิ้ม แจ้งตารางงานของผมต่อ ผมนั่งอ่านรายงานการประชุมเมื่อวานพร้อมฟังตารางงานวันนี้ไปด้วย “ส่วนเรื่องของคุณมิเกล ยิ้มได้เช็กตารางกับเลขาทางนั้นแล้วค่ะ ตอนนี้ทัวร์ยังไม่จบ คงหาเวลาไม่ได้ค่ะ”
“โอเค ไปทำงานเถอะ”
เสียงประตูห้องทำงาน ปิดลง ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ คิดถึงคนอยู่แดนไกล ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับก็นานๆ ครั้ง ทั้งที่โลกออนไลน์ทันสมัยขนาดนี้ เราก็ยังคงติดต่อกันได้ยากยิ่งนัก
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลือนดูรูปของมิเกลไปเรื่อยๆ จนถึงรูปหนึ่งตอนงานวันเกิดผม มันเป็นภาพแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน ห้าปีกับสถานะที่เป็นมากว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนอยู่ในตอนนี้ เธอคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งรอเก้อมาหลายต่อหลายรอบเพราะงานของเธอมาก่อนผมเสมอ ถึงอย่างนั้นก็ยังเข้าใจเธอดีที่สุด
อยากให้เธอมีความสุข ถึงผมจะมีความทุกข์ แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว ผมเปิดลิ้นชักหยิบกล่องใบเล็กสีขาวออกมาเปิดดูว่าของข้างในยังอยู่ดีหรือไม่
ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ผมมองแหวนในกล่องอยู่ครู่ใหญ่ คาดเดาไม่ออกเลย พอมิเกลเห็นแหวนวงนี้เธอจะมีสีหน้าแบบไหน สถานะของเรามากพอที่จะให้ผมขอเธอแต่งงานได้ไหม
แต่ความสัมพันธ์นี้มันก็อธิบายได้ยาก แต่ที่แน่ๆ คือผมชอบเธอ อยากได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต มิเกลเธอรับรู้ถึงความรู้สึกของผมดี
“ทัพ เกลรู้ว่าทัพรู้สึกยังไงกับเกล ตอนนี้ยังไม่ได้ เกลยังอยากวิ่งตามความฝัน”
“ทำไมละ ถ้าเราเลื่อนสถานะขึ้นมา เกลก็ยังทำตามความฝันได้ ทัพไม่ห้ามเกลหรอก อยากทำอะไรก็ทำ ทัพพร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่เกลรัก”
มิเกลส่ายหน้า “เอาไว้เกลประสบความสำเร็จแล้ว ค่อยตอบทัพดีไหม ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากแล้ว ขอแค่เรารู้ว่าเราต่างเป็นที่หนึ่งในดวงใจของกันและกันมันก็ดีมากพอแล้ว สถานะมันอาจไม่จำเป็นก็ได้”
“มันดีแน่เหรอ เราจะอยู่แบบนี้กันจริงๆ ใช่ไหม” ทัพไทยดึงเธอเข้ามากอด ร่างทั้งสองนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงนอนกว้าง มิเกลวางฝ่ามือลงบนแผงอกเปล่าเปลือยก่อนประทับจูบตามลงไป
“แบบนี้ดีแล้ว ทัพสำคัญที่สุดอย่าน้อยใจไปเลย จุ๊ฟ”
ผมดึงตัวเองออกมาจากภาพในอดีต สถานะมันไม่สำคัญจริงนะหรือ!! หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เคยคุยถึงเรื่องนี้กันอีกเลย แต่ถึงอย่างไรเธอก็คือคนที่ยืนอยู่ในหัวใจของผม เรามาไกลเกินกว่าคนรักกันพึ่งจะมี ระยะทางมันไม่ใช่ปัญหาระหว่างเราสองคนเลย
ถึงแม้จะเป็นผมที่ต้องเดินทางไปพบเธออยู่เสมอเมื่อตารางเวลาของเธอว่าง ผมต้องเคลียร์งานของตัวเอง เพื่อบินลัดฟ้าไปพบเธอ เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงผมก็จะทำ “เพราะเธอคือคนที่อยู่ในหัวใจ”