แต่งก็แต่ง
ซ่างเทียนหลินแต่งกายเฉกเช่นพ่อค้าชาวบ้านทั่วไป แต่ด้วยบุคลิกและความมีชาติตระกูลของเขา คนที่พบเห็นส่วนใหญ่คงคิดว่าเป็นผู้ดีตกยาก เขาตั้งใจแต่งตัวเช่นนี้เพื่อไปแอบดูว่าที่พระชายาของตน
เขาแสร้งทำเป็นเดินเล่นชมบรรยากาศข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ เมื่อมาถึงจวนสกุลลู่ก็หลบเข้าซอยด้านข้างจวนแล้วกระโดดข้ามกำแพงจวนอย่างว่องไว
แม้ว่าภายในจวนจะมีผู้คุ้มกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแก่ซ่างเทียนหลิน ผู้ที่มีวรยุทธสูงส่ง
เดินสำรวจในจวนได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องของสตรี เขาจึงหลบขึ้นดูสถานการณ์บนต้นไม้ใกล้ๆ
“นังซินหลิน ออกมานี่เดี๋ยวนี้”
ลู่เซียงเจี้ยนแผดเสียงดังกังวานร้องเรียกลู่ซินหลิน เมื่อวานลู่เฉิงเหวินไปเจรจาเรื่องแต่งงาน สรุปได้ความว่า จ้วงฉีเหนียนตาเฒ่าหัวงูจะยอมเลื่อนงานแต่งเป็นสามวันให้หลังจากงานของลู่ซิน หลิน แถมตาเฒ่าจ้วงบอกว่าจะเป็นเจี้ยนเอ๋อร์หรือลี่เอ๋อร์ก็งดงามทั้งคู่ เขาแต่งกับคนไหนก็ได้ เพียงกระซิบมาว่าตนพึงใจกับเจี้ยนเอ๋อร์มากกว่า
ลู่ซินหลินเดินออกมาตามเสียงเรียก นางตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้เสียงดังเอะอะโวยวายเช่นนี้
“โผล่หัวมาแล้วก็ดี ให้ข้าปลอมเป็นเจ้า แล้วเจ้าเปลี่ยนเป็นข้าแต่งให้ตาเฒ่าหัวงูนั่นซะ” ลู่เซียงเจี้ยนส่งเสียงโวยวายไม่พอใจ
ลู่ซินหลินได้ยินเช่นนั้น เดิมก็ไม่ใช่สตรีที่เรียบร้อยอยู่แล้ว ใครๆ ต่างพากันบอกว่านางไม่มีมารดาคอยอบรมเรื่องมารยาท ถ้าเช่นนั้น นางก็จะไร้มารยาทเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าคนอื่นเขาโง่หรืออย่างไร คุณหนูลู่เซียงเจี้ยนแห่งตระกูลลู่ ได้ข่าวว่าเจ้าแบกหน้าตาเจ้าไปอวดโฉมแทบทุกงาน จะมาสลับตัวกับข้า โถ คนเขาไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร จะเชื่อเจ้าหรือไง”
ลู่ซินหลินตอกหน้ากลับบ้างไม่สนใจใคร
ลู่เซียงเจี้ยนผู้ที่เคยมีแต่ไร้มารยาทกับผู้อื่นแต่ไม่เคยมีผู้อื่นไร้มารยาทกับนางถึงกับหน้าหงาย นางโมโหสุดขีดชี้หน้าด่าอย่างไม่เหลือความเป็นลูกผู้ดี
“ข้าจะให้ท่านพ่อบอกท่านอ๋องว่าเจ้าไร้การศึกษา ไร้มารยาท ไร้สติปัญญา แต่งเข้าบ้านไหนก็เป็นตัวเสนียดจัญไร”
ลู่เซียงเจี้ยนด่าอย่างเร็วให้สมกับเป็นหลานสาวแม่ค้า
ลู่ซินหลินได้ยินก็ยกมือขึ้นมาเท้าเอวแล้วก็หัวเราะ
“โง่เขลาอีกล่ะ ข้าจะเป็นตัวเสนียดจัญไรได้อย่างไร ในเมื่อท่านกงกงก็บอกอยู่ว่าดวงข้านั้นหนุนดวงท่านอ๋อง ข้าแต่งให้ท่านอ๋องทำให้ท่านอ๋องอายุยืนนานขึ้น ข้าว่านะ คนที่ไร้สติปัญญาก็คือเจ้า”
ว่าจบลู่ซินหลินก็ยืนยิ้มรอการตอบกลับของลู่เซียงเจี้ยน เอาสิ แรงมาแค่ไหนนางก็จะร้ายให้สุดเช่นกัน
ลู่เซียงเจี้ยนได้ยินก็ยืนกรีดร้องเหมือนคนเป็นบ้า
“เสี่ยวลี่ล่ะ นังเสี่ยวลี่อยู่ที่ไหน ไสหัวมานี่เดี๋ยวนี้นะ” นางเรียกน้องสาวต่างมารดาอีกคน
ณ มุมหนึ่งบนต้นไม้ ซ่างเทียนหลินนั่งยิ้มอย่างชอบใจ สตรีนางนี้ช่างร้ายกาจนัก สู้คนกลับ ฝีปากร้าย ดูนางยืนเถียงทำให้เขาสนุกราวกับได้เชียร์การแข่งขันต่อสู้ “แต่งก็แต่ง” มีนางสักคนคงไม่ต้องกลัวไทเฮาหรือฮ่องเต้จะประทานพระชายารองแล้ว เขาจะได้สั่งให้นางเถียงกลับ เถียงจนอีกฝ่ายเหนื่อยใจที่จะประทานพระชายาหรือสนมเพิ่มให้
สักพักใหญ่ลู่เสี่ยวลี่ก็กลับมาถึงจวน นางวิ่งมาตามเสียงโวยวายของลู่เซียงเจี้ยน
“มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่เซียงเจี้ยน” ลู่เสี่ยวลี่ถามด้วยความตื่นตกใจ แต่ในใจนางก็พอเดาได้อยู่แล้วว่าคือเรื่องอันใด
“มี เจ้าต้องแต่งงานกับตาเฒ่าจ้วงแทนข้า”
ลู่เซียงเจี้ยนเสียงแข็งออกคำสั่ง
เสียงอันดังของนางเรียกให้ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองวิ่งหน้าตาตื่นมาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
ลู่เซียงเจี้ยนเห็นมารดาของตนเองมาก็ยิ้มดีใจ
“ท่านแม่มาก็ดีแล้ว ท่านแม่ต้องช่วยข้า ให้นังเสี่ยวลี่แต่งงานแทนข้านะเจ้าคะ”
ลู่เสี่ยวลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย นางเดินไปใกล้ลู่เซียงเจี้ยน มองด้วยสายตาสมเพชอีกฝ่าย
“คงไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่สตรีพรหมจรรย์เสียแล้ว คงแต่งให้ท่านจ้วงไม่ได้”
ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ลู่ซินหลินและบ่าวรับใช้ที่ได้อยู่ตรงนั้นล้วนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน คนที่ตกใจที่สุดก็คือลู่เซียงเจี้ยน
ลู่เสี่ยวลี่ไม่พูดเปล่า นางยกแขนขวาขึ้นมาแล้วถกแขนเสื้อให้เห็นข้อมือที่เนียนสวยไร้จุดแดงโส่วกงซา (แต้มพรหมจรรย์)
ฮูหยินรองคว้ามือของลู่เสี่ยวลี่มาดูอย่างตกใจ
“มัน มันเป็นใคร” นางเอ่ยถามด้วยความเดือดดาล ลูกสาวตัวดีของนางไม่กลับบ้านหนึ่งคืนแต้มพรหมจรรย์ก็หายสิ้นเสียแล้ว
“หนานหยางอ๋องเจ้าค่ะ ท่านอ๋องยินดีรับข้าเข้าไปเป็นอนุในจวนอ๋อง แม้จะเป็นอนุแต่อย่างน้อยก็มีบารมีของท่านอ๋องดูแลข้าได้นะเจ้าคะ ตำแหน่งพระสนมก็ฟังดูเข้าที”
ฮูหยินรองได้ยินก็หงุดหงิดแต่ใจหนึ่งก็โล่งอก ถึงเป็นอนุแต่เป็นอนุของท่านอ๋องยังดีกว่าเป็นอนุตาเฒ่ารุ่นพ่อ
“ครอบครัวหรรษา” ซ่างเทียนหลินเห็นก็ขำในใจ ปกติเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่พอครั้งแรกที่ยุ่งกลับได้มาเห็นครอบครัวตระกูลลู่ ช่างบันเทิงใจดีแท้
ลู่เซียงเจี้ยนกรีดร้องโวยวายราวกับคนบ้า ฮูหยินใหญ่จึงต้องลากตัวนางไปขังในห้องให้สงบสติอารมณ์
เมื่อเรื่องราววุ่นวายจบลง ลู่ซินหลินจึงหาเรื่องออกมาเดินเล่นผ่อนคลายนอกจวน นางเลือกไปดูตลาดยาเนื่องจากนางคุ้นเคยกับยาสมุนไพรตั้งแต่ยังเล็ก
ตลาดยาสมุนไพรเมืองจู่เฉิงคึกคักเป็นอย่างมาก ร้านค้าเล็กใหญ่ตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง ลู่ซินหลินเดินเข้าออกแต่ละร้านอย่างเพลิดเพลิน
นางทำตาโตเมื่อเห็นเห็ดหลินจืออายุหลายร้อยปี โสมคนที่มีขนาดใหญ่เท่าแขนเด็ก ไข่มุกเม็ดงามที่ส่องประกายระยิบระยับ งูตัวยักษ์ที่ถูกดองอยู่ในขวดโหล นอแรด ม้าน้ำ นางล้วนตื่นตาตื่นใจที่ได้พบเจอ
“ทำเป็นเด็กน้อยเห็นของเล่นไปได้” ซ่างเทียนหลินอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของลู่ซินหลินที่จ้องยาสมุนไพรแต่ละตัว ถ้านางไปเห็นห้องยาสมุนไพรในจวนอ๋องของเขาอาจจะน้ำลายหกต้องหอบตั่งเตียงมาตั้งในห้องเพื่อนอนดูทั้งวันก็เป็นได้
ขณะที่ลู่ซินหลินจะเดินกลับจวนนั้น สายตาก็มองเห็นเด็กน้อยอายุน่าจะแปดเก้าขวบนั่งคุกเข่าและเอาหัวโขกพื้น ปากก็พร่ำบอกว่า “ช่วยท่านแม่ข้าด้วยๆ” ด้านหลังของเด็กน้อยนั้นมีคนนอนคลุมผ้าอยู่ น่าจะเป็นแม่ของเด็กคนนั้น นางไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปดู
“ให้พี่สาวดูหน่อยนะจ๊ะ” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยเห็นก็หยุดเอาหัวโขกพื้นเงยหน้าขึ้นมามองหน้านาง จากนั้นก็ยิ้มและหลบให้นางเดินเข้าไปดูแม่ของเขา
ลู่ซินหลินคุกเข่าลงนั่งข้างกายแม่ของเด็กน้อย มือเรียวเอื้อมไปแมะ (จับชีพจร) ที่ข้อมือทั้งสองข้าง นางมองสีหน้า เปิดปากดูลิ้น เอามือแตะที่หน้าผากและบริเวณลำคอ
“ก่อนหน้าที่ไม่สบายแม่ของหนูไปไหนมาบ้าง” ลู่ซินหลินเอ่ยถามเด็กน้อย
เด็กน้อยทำท่าทางนึกสักพัก “ท่านแม่เข้าป่าไปหาเก็บผลไม้ เก็บเห็ดขอรับ”
“จากนั้นไม่กี่วันก็ไม่สบายใช่มั้ยจ๊ะ” นางเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับ แม่ของข้าจะหายหรือไม่ขอรับ” เด็กน้อยถามอย่างรอคอยความหวัง
ลู่ซินหลินสะกิดปลุกแม่ของเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา เมื่อตาที่หลับอยู่ลืมขึ้นมามองหน้านาง นางก็ถามว่า “มีไข้หนาวสั่นใช่มั้ยจ๊ะ ข้าจับดูท่านตัวร้อนและมีเหงื่อออกด้วย”
แม่เด็กตอบอย่างอ่อนแรง “ใช่เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าตัวร้อนมากและมีไข้หนาวสั่นเป็นพักๆ”
ลู่ซินหลินถามอาการอีกสักพักก็วิเคราะห์โรคและกลุ่มอาการ จากนั้นนางก็เดินเข้าร้านยาเพื่อไปซื้อยามาห้าเทียบ จากนั้นก็ช่วยประคองแม่เด็กกลับไปที่บ้านของพวกเขา
เมื่อมาถึงบ้านนางก็สอนวิธีการต้มยา วิธีการดื่มยา และเช็ดตัวระบายความร้อนแก่เด็กน้อย
“แม่ของข้าเป็นโรคใดหรือขอรับ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม่ของข้า พวกเขากลัวติดโรค”
ลู่ซินหลินลูบหัวเด็กน้อย “แม่ของหนูเป็นไข้ป่าเพราะว่าโดนยุงกัด คนอื่นเข้าใกล้ได้จ้ะ”
“แล้วใครทำอาหารให้พวกหนูจ๊ะ” ลู่ซินหลินถามด้วยความห่วงใย
“มีท่านน้าข้างบ้านเอาอาหารมาให้ขอรับ”
“ดีแล้วจ้ะ หนูต้องป้อนข้าวแม่และให้แม่ดื่มยาให้ตรงเวลานะจ๊ะ พี่สั่งยามาห้าเทียบเจ้าต้มให้แม่ดื่มวันละเทียบ หลังจากนั้นพี่สาวจะมาดูอาการอีกทีนะ” ลู่ซินหลินย้ำให้เด็กน้อยจำให้ได้ อีกห้าวันก็หลังจากนางไปคารวะญาติผู้ใหญ่หลังแต่งงานเรียบร้อยแล้วก็สะดวกมาพอดี
นางเดินไปหาคนที่เด็กน้อยเรียกว่าคุณน้าข้างบ้านกำชับเรื่องอาหารที่ควรให้ผู้ป่วยพร้อมกับให้เงินค่าอาหารเล็กๆ น้อยๆ เป็นการช่วยเหลืออีกทาง
ซ่างเทียนหลินตามสังเกตพฤติกรรมของว่าที่พระชายา
“มีความรู้ทางการแพทย์ มีน้ำใจ ด่าเก่ง สู้คน ไม่เลวๆ”
