ตอนที่ 2 อดีต
“เจิ้นเพียงแค่เย้าเล่นเท่านั้นเอง เหตุใดต้องตกอกตกใจด้วยเล่า” หวงตี้เซียวหยางหรงยกยิ้มขึ้น เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด เพียงแค่แหย่เล่นเท่านั้น แม่ทัพหลี่ถึงกับอุทานออกมาเสียงดัง สีหน้าขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด
“ฝ่าบาทจะตรัสล้อเล่นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นางไม่สมควรแต่งงานออกเรือนกับผู้ใด นางกระโดกกระเดกแก่นแก้วปานนั้น หาใช่สตรีในห้องหอ หากแต่งงานออกเรือนไปเกรงว่าจะอับอายขายหน้าตระกูล” หลี่เจี้ยนรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่พอใจนักกับคำเย้าแหย่ของหวงตี้ ถึงกระนั้นก็ยังต้องแสร้งยิ้มแย้มมอบไมตรีให้
“เจิ้นมองออกว่าเจ้าหวงแหนนางมาก แต่นางก็เหมาะสมที่จะออกเรือนแล้วมิใช่หรือ ให้เจิ้นจัดการเลือกเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมดีหรือไม่” คนที่พอเข้าหูเข้าตาก็มีไม่น้อย เว้นแต่เพียงแม่ทัพหลี่มิยอมร่วมมือนี่สิ อันนี้เรื่องใหญ่หลวงนัก
แม่ทัพหลี่เจี้ยน ยืนกรานหนักแน่น ไม่นั่งเก้าอี้ที่วางเอาไว้ต้อนรับ รวมถึงไม่ดื่มน้ำชาที่นางข้าหลวงรินชาและยื่นให้ เขาเหลือบมองนางข้าหลวงด้วยสายตาดุร้าย จนนางข้าหลวงผู้นั้นไม่กล้าเงยหน้าสบตา วางถ้วยชาหอมกรุ่นลงบนโต๊ะ แล้วถอยหลังยืนอยู่ข้าง ๆ กำแพง ด้วยสีหน้าและท่าทางสงบเสงี่ยม
ชายสูงวัยเอ่ยเสียงแข็งกระด้าง “ไม่รบกวนฝ่าบาทเป็นกังวลพระทัยพ่ะย่ะค่ะ หากบุตรชายตระกูลใดเข้าตา กระหม่อมยินดีส่งแม่สื่อไปทาบทามเสียเอง ไม่รบกวนฝ่าบาทเป็นธุระจัดการให้พ่ะย่ะค่ะ” หากผู้ฟังไม่รู้ความ คงคิดว่าแม่ทัพผู้นี้กระด้างกระเดื่องต่อฝ่าบาท
แท้ที่จริงแล้วทั้งสองล้วนสนิทสนมกลมเกลียวกันนัก ภายนอกก็เหมือนฮ่องเต้และขุนนาง แม่ทัพหลี่ในยามนี้ มิได้เหมือนในครานั้น
ย้อนกลับไปเกือบสามสิบกว่าปีที่แล้ว หลี่เจี้ยนเด็กชายตัวเล็ก ใบหน้าซูบสวมอาภรณ์ด้วยผ้าเนื้อหยาบบิดาทำการค้าเล็ก ๆ มีแผงขายผักและผลไม้อยู่ในตลาด
ส่วนมารดาของหลี่เจี้ยนเย็บผ้า ทำกับข้าว คอยดูแลบุตรชายและบุตรี กิจการการค้ามิได้กำไรมากนัก ดังนั้นจึงรู้จักประหยัดอดออม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แค่ของภายนอก มักสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบราคาถูก เก็บเงินเอาไว้ใช้สอยยามจำเป็น
หลี่เจี้ยนเป็นบุตรชายที่กตัญญูนัก คอยช่วยเหลือบิดาค้าขาย ช่วยหยิบจับ แล้วยังรับจ้างเข็นรถส่งของ ได้เงินมาก็มอบให้มารดา ระหว่างที่เขาเดินเล่นในตลาด ก็พบกับเด็กชายผู้หนึ่ง จากการถูกรังแก
เขาเอาตัวบดบัง คุณชายตัวเล็กกว่า ด้วยเห็นว่าเป็นคนผ่ายผอม ด้วยรูปร่างคล้ายคนอ่อนแอ จึงยื่นมือช่วยเหลือ แต่หารู้ไม่ว่า กำลังช่วยเหลือไท่จื่อน้อยที่หนีออกจากสำนักศึกษามาเที่ยวเล่น
จนพบกับกลุ่มนักเลงหัวไม้ เห็นว่าเป็นเด็ก สวมใส่อาภรณ์หรูหรา คาดว่าเป็นผู้มีอันจะกิน จึงคิดขโมยถุงเงิน แต่ที่ไหนได้ เด็กชายผู้นี้ไม่ยินยอม แล้วยังวิ่งหนี ด้วยความหวาดกลัว จนไม่ได้ดูหนทางเลยชนเข้ากับร่างเล็ก ๆ จนทั้งคู่ล้มลงบนพื้น
หลี่เจี้ยนไม่กล่าวโทษ รีบลุกขึ้นปัดเนื้อตัว แล้วเอ่ยถามคุณชายตัวเล็กกว่าอย่างห่วงใย ยังไม่ทันได้พาส่งเข้าสำนักศึกษา กลุ่มนักเลงพวกนั้นก็ตามมาจนได้ แววตาเกรี้ยวกราดของพวกนักเลงนั้น พอจะทำให้เด็กทั้งสองหวาดกลัวจนร้องไห้
แต่หลี่เจี้ยนไม่ใช่คนประเภทนั้น เขาก้าวออกมายืนด้านหน้า กางแขนทั้งสองข้างออก แล้วเอ่ยน้ำเสียงดุดันส่งกลับไป ใครจะคิดเล่าว่า คนชั่วพวกนั้นไม่สงสารเด็กอายุเพียงไม่ถึงสิบหนาว ถูกต่อยตีจนหน้าตาบวมบูด ถุงเงินที่หวงแหน ก็ถูกขโมยไปจนได้
กว่าคนของไท่จื่อจะพบเห็นก็เกิดเรื่องแล้ว หลังจากนั้น หลี่เจี้ยนจึงถูกคัดเลือกเป็นสหายร่วมเรียนของไท่จื่อ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลี่เจี้ยนก็คือแขนและขา ขององค์รัชทายาท ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ จวบจนชายแดนมีเภทภัย
หลี่เจี้ยนจึงได้รับหน้าที่อันสลักสำคัญ นำทัพออกไปปกป้องชายแดนให้พ้นภัย แม่ทัพหลี่ปักหลักอยู่เมืองหน้าด่าน เป็นเวลาหลายปี พอกลับเมืองหลวง ก็พบว่า แม่ทัพหลี่ผู้นี้ก็มีบุตรชายและบุตรสาว
บุตรชายของแม่ทัพหลี่ เป็นผู้มากความสามารถ ขณะนี้เป็นขุนนางขั้นสาม แล้วยังเป็นท่านอาจารย์สอนสั่งเหล่าบุตรหลานขุนนาง รวมถึงเชื้อพระวงศ์อีกด้วย
ทว่าในเมืองหลวงก็ยังไม่สงบเรียบร้อย สงครามก่อเกิดความสูญเสียจำนวนมาก เงินในท้องพระคลังก็ร่อยหรอ อีกทั้งยังมีคณะทูตส่งสารมาเจริญสัมพันธไมตรี เพื่อเปิดด่านการค้า ซึ่งเป็นดินแดนที่หลี่เจี้ยนเคยสู้รบจนคว้าชัยชนะกลับมา
ความดีความชอบในครานั้น สหายผู้นี้มิเคยร้องขอ เห็นทีว่า...จะต้องมอบรางวัลให้แก่สหายรักผู้นี้บ้างแล้ว หวงตี้เซียวหยางหรง มักมีแผนการมากมายนับไม่ถ้วน จึงเล่นลิ้นขึ้นอีกครา “เจิ้นเพียงแค่หวังดี”
แม่ทัพหลี่ยังคงยืนยันเช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือยามนี้กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล หากมีราชโองการลงมาจริง ๆ เขาจะทำเช่นไร
ถ้าเกิดว่าขัดราชโองการได้เช่นนั้นหรือ นั่นเท่ากับกบฏเชียวหรือ “กระหม่อมขอรับน้ำใจเอาไว้ แต่ไม่ต้องใส่พระทัยมากนัก บุตรสาวของกระหม่อมจัดการเองได้พ่ะย่ะค่ะ หากหมดธุระแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนเล่า เจิ้นยังพูดไม่จบเลย” ผู้สูงศักดิ์รีบเอ่ยปรามเอาไว้ แม่ทัพหลี่ช่างเป็นคนใจร้อน พูดจาเกี่ยวกับบุตรสาวของเขามิได้ แตะต้องมิได้เป็นต้องหงุดหงิดไปเสียทุกครา
“พ่ะย่ะค่ะ เชิญรับสั่ง” แม่ทัพหลี่หน้าตานิ่งเฉย คล้ายมิใส่ใจ แต่ภายในอกล้วนมีเปลวเพลิงกำลังก่อตัว แม้รู้สึกไม่พออกพอใจเยี่ยงไรก็ต้องข่มใจให้เย็นเอาไว้ เพราะผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์มังกรนี้ ใช่ใครจะต่อกรกันได้ง่ายๆ กันเล่า
“อีกสองเดือน จะมีราชทูตเดินทางมา เจิ้นคิดว่า คนพวกนั้นคงไม่ประสงค์ดีแน่” แผนการของบิดาแห่งแว่นแคว้นช่างแยบยลนัก
“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้น” แม่ทัพหลี่ยังไม่วางใจ เพราะคนผู้นี้เจ้าแผนการยิ่งนัก
“เจิ้นจึงคิดว่า” เซียวหยางหรงกำลังเอ่ยปาก
ทว่าแม่ทัพผู้หวงแหนบุตรสาวมากกว่าสิ่งอื่นใดรีบเอ่ยสวนขึ้นทันควัน “งานเลี้ยงต้อนรับ บุตรสาวกระหม่อมคงไม่อาจมาร่วมงานได้”
หากมิใช่สหายที่รู้จักกันมานาน ร่วมออกรบยามที่เขาเป็นเพียงแค่องค์รัชทายาท เห็นทีว่าแม่ทัพหลี่คงต้องถูกเขาลงโทษโบยสักสามสิบไม้ถึงจะหลาบจำ “เจ้านี่นะรีบออกตัว เจิ้นเพียงแค่อยากให้นางได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็เท่านั้น”
และมีหรือที่หวงตี้เอ่ยปากเยี่ยงนี้ จะไม่มีแผนการต่อมา
หลี่เจี้ยนยื่นมือประสาน รู้ว่าผิดจึงรีบทรุดกายลงคุกเข่าบนพื้น ไม่มีทีท่ากระด้างกระเดื่องแม้แต่น้อยนิด “นางเติบโตในเมืองนอกด่าน กิริยามารยาทก็ล้วนเหมือนม้าดีดกะโหลก หากร่วมงานเลี้ยง เกรงว่าคงอับอายขายหน้าวงศ์ตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เท่าที่เจิ้นรู้มา นางเก่งกาจไม่น้อยเลยนี่นา” มือหนักใช้ได้ ได้ยินข่าวนางมาพอสมควร แต่ก็ยังไม่เคยพานพบ ประสบดวงหน้าของหลี่หรูหรานเลยสักครา ว่าจะสะสวยงดงามเพียงใด ถึงทำให้ใครบางคนกระวนกระวายจนใจต้องรบเร้าให้ทาบทามบุตรสาวแม่ทัพหลี่
“ฝ่าบาททรงชมนางเกินไปแล้ว กระหม่อมขอร้อง” หลี่เจี้ยนยังคงคิดเช่นเดิม บุตรสาวผู้นี้เขาเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี
“หลี่เจี้ยน รับบัญชา” เซียวหยางหรงยิ้มเหี้ยม ขณะที่พูดกับสหาย ฝ่ามือหนาคว้าพู่กัน ตวัดตัวอักษรลงบนกระดาษขาวด้านหลังเป็นสีทองเหลืองอร่าม
หลี่เจี้ยนทำได้แค่ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรม “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”