เรื่องเล่าขานที่ ๘ ก้าวหนึ่งก้าว ถอยหนึ่งก้าว
เรื่องเล่าขานที่ ๘
ก้าวหนึ่งก้าว ถอยหนึ่งก้าว
ยามเช้าที่อากาศเย็นสบายกว่าทุกวัน บุรุษอายุ 100 กว่าปี เดินมาถึงหน้าห้องอาหาร
วันนี้ องค์ชายปีศาจสวมชุดสีขาวปักลายสีเงิน ทรงผมยังคงรวบเกล้าครึ่งศีรษะ อีกครึ่งปล่อยสยาย แต่มิปล่อยปอยผมลงมา เผยใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาคมคาย สีหน้าผ่อนคลายบ่งบอกว่า อยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างดี แต่เมื่อก้าวเข้ามาในห้องอาหาร บนโต๊ะที่มีอาหารจัดวางอยู่มากมาย มีเพียงเจียอิงที่นั่งอยู่ในห้อง ไร้ร่างสตรีอีกคน ดวงตาคมพลันมีระลอกคลื่นปรากฏ
เจียอิงลุกขึ้นยืนประสานมือโน้มกาย กล่าวทักน้ำเสียงร่าเริงเช่นทุกวัน
"อรุณสวัสดิ์เพคะ รัชทายาท"
เฉียนเย่เจากะพริบตาหนึ่งครั้งนัยน์ตาขุ่นมัวเมื่อครู่ก็หายไป ร่างสูงเคลื่อนกายไปนั่งยังหัวโต๊ะ นั่งนิ่ง ไม่หยิบตะเกียบและไม่สนใจอาหาร ใบหน้าเรียบนิ่ง จนนางกำนัลที่ยืนอยู่ที่ประตูรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
'เหตุใดรัชทายาทมิเสวยอาหาร หรือ ไม่ต้องใจ'
เจียอิงรอบสังเกตองค์ชายสลับกลับมองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะถามขึ้น
"มิถูกใจหรือเพคะ?"
เจียอิงถามออกไปแต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เมื่อฝ่าบาทมิพึงใจจะตอบ ตนจึงเงียบไปไม่ถามซักไซ้ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว พระองค์ก็ยังไม่แตะต้องอาหารใดๆบนโต๊ะ เจียอิงเห็นเช่นนั้นจึงส่งสัญญาณให้นางกำนัลมาเก็บของออกไป หันไปกล่าวกับเฉียนเย่เจา
"หากไม่ถูกใจ หม่อมฉันจะให้นางกำนัลเปลี่ยนอาหารสำรับใหม่เพคะ"
"มิต้อง"
ในที่สุดรัชทายาทก็ตรัสออกมาพร้อมใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชา ร่างสูงลุกขึ้น เดินออกจากห้อง ทั้งนางกำนัลและเจียอิงต่างสับสนงุนงง นางกำนัลนางหนึ่งหันมาถามเจียอิง
"เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?"
"เดี๋ยวข้าไปดูเอง"
ตอบนางกำนัลเสร็จก็ลุกขึ้น รัชทายาทประหลาดนัก แม้จะเอาแต่ใจทั้งคาดเดาจิตใจยาก แต่มิเคยละทิ้งอาหาร กินง่ายอยู่ง่ายมาตลอด วันนี้เป็นสิ่งใด หรือจะไม่สบาย
คิดไปอย่างกังวล โดยไม่ทราบถึงสาเหตุแท้จริงของรัชทายาทว่าเหตุใดมิแตะต้องอาหาร
เฉียนเย่เจาเดินออกจากห้องอาหารมุ่งไปทางเรือนพำนักของสตรีมนุษย์ ใบหน้ารูปงามยามนี้เรียบนิ่งยิ่งกว่าตอนอยู่ในห้องอาหาร ในใจนึกโมโหว่า
‘นางโกรธเขา จึงประท้วงมิกินข้าวรึ ดี ดีแท้’
*******
เรือนพำนักหยกขาว
ลั่วเริ่นอิงยังสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์เช่นเดิม ผมยาวถึงสะโพกถักเป็นเปียเดียวไร้เครื่องประดับ ดวงหน้างามใสสะอาดหมดจด แก้มทั้งสองข้างมีเลือดฝาด ริมฝีปากสีแดงดั่งสีของกุหลาบรูปกระจับอวบอิ่ม
องค์หญิงแห่งจิงเหรียนตื่นนานแล้วและทานมื้อเช้าไปแล้ว องค์หญิงคนงามนั่งอ่านหนังสือสบายใจโดยมิรู้ว่ากำลังจะถูกพายุหิมะมาถล่มถึงที่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะดังขึ้นสามครั้ง องค์หญิงคนงามเงยหน้าขึ้น คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันเกิดความประหลาดใจว่าผู้ใดมาหานาง มิทันได้ร้องถาม ประตูก็ถูกเปิดออก ปรากฏให้เห็นร่างสูงสง่าของเจ้าของสระมรกต เฉียนเย่เจา
“ท่าน!” ลั่วเริ่นอิงตกใจ ยิ่งเขาก้าวเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเรียบนิ่งนัยน์ตาคมมองตรงมาที่นางอย่างเย็นชา ร่างของสตรีก็เผลอผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าว
‘เขาโกรธ นางสัมผัสได้’
“รัชทายาท” ลั่วเริ่นอิงประสานมือโน้มกายทักทายเขา แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองเรื่องเมื่อวาน แต่จะทำมึนตึงเขาที่เป็นผู้ให้ที่อยู่อาศัยก็มิควร เขาไร้มารยาท นางไม่จำเป็นต้องไร้มารยาทกลับ
เฉียนเย่เจากวาดตามองทั่วห้อง เมื่อเห็นว่านางนั่งอ่านหนังสือสบายใจความโกรธก็ยิ่งทวี ร่างสูงก้าวรวดเดียวก็ไปถึงร่างบาง เอ่ยถามเสียงเย็นชา
“ทำไมไม่ไปทานมื้อเช้า?”
ลั่วเริ่นอิงตกใจ เขามาด้วยเรื่องนี้รึ
“ข้าไม่ใคร่สบาย” ตอบออกไปพลางหันหน้าไปทางอื่น
เฉียนเย่เจาหน้าตึง กล่าวเสียงห้วนแข็ง “อย่าโกหก”
เมื่อถูกว่าเสียงแข็ง ความโกรธจากเมื่อวานที่ยังไม่หายก็ยิ่งมากขึ้น ลั่วเริ่นอิงหันกลับมา ตอบกลับ
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน” จบคำก็หันหน้าหนี
เฉียนเย่เจาโกรธจัด มิเคยมีใครทำกับเขาเช่นนี้ ร่างสูงเคลื่อนกายเข้าหาสตรีมนุษย์ ลั่วเริ่นอิงระวังตัวอยู่ตลอด มิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย นางถอยห่างออกไปไกล ต่อว่า
“ท่านจะตีข้ารึ?”
เฉียนเย่เจาโกรธจัด นางหงส์ป่าพยศถึงขั้นสุด “ลั่วอิง เจ้าช่างเหิมเกริม”
“ข้ามิได้เหิมเกริม ท่านทำตัวมิเป็นสุภาพบุรุษ ถึงท่านจะเป็นผู้มีพระคุณ แต่ท่านควรให้เกียรติข้าบ้าง และหากท่านจะใช้เหตุผลว่า ชาวหมาป่าไม่ถือสา แต่มนุษย์เช่นข้าถือสา ตัวท่านครึ่งหนึ่งก็เป็นมนุษย์ และหากท่านอยากกลับเป็นมนุษย์ ท่านก็ควรศึกษาธรรมเนียมของมนุษย์”
ลั่วเริ่นอิงหอบเล็กน้อย ด้วยไม่เคยกล่าวมากความเช่นนี้ ทั้งต้องรวบรวมความกล้าไม่ให้หวาดกลัวต่อเขา
เฉียนเย่เจาตกตะลึง มองนางหงส์ป่านิ่ง ตลอดมาตนคิดว่านางเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตามผู้อื่นเสมอ แต่จากเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนเขาจะมองผิดไปถนัด แม้ท่าทางนางจะดูอ่อนโยน แต่หากเรื่องที่ตนมองว่ามิถูกต้อง นางหงส์ป่าก็สู้ขาดใจ
เฉียนเย่เจานั่งลงกับเก้าอี้ไม้ อยู่ๆก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา นางหงส์ป่าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เลวนัก
ลั่วเริ่นอิงเห็นเฉียนเย่เจานั่งลงก็ประหลาดใจ
‘นางต่อว่าเขา เขาไม่โกรธหรือ หรือว่าโกรธมาก กำลังคิดหาวิธีลงโทษนาง’
คิดอย่างหวาดระแวงไปมากมาย พลัน ในตอนที่เฉียนเย่เจาเอ่ยขึ้น ความหวาดระแวงก็หยุดชะงักเปลี่ยนเป็นความตกใจแทน
“ข้าขอโทษ”
จบประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากขององค์ชายหมาป่าแสนโอหังและเย็นชา เฉียนเย่เจา สายตาเขาที่มองมาก็ฉายความอ่อนลงหลายส่วน ลั่วเริ่นอิงไม่แน่ใจว่าตนหูฝาดไปหรือไม่ แต่ความรู้สึกขุ่นมัวก็ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย
เฉียนเย่เจามิคิดรบกวนนางอีก ร่างสูงไม่กล่าวมากความ ลุกขึ้นยืน หันหลังเดินออกจากห้องทิ้งให้ลั่วเริ่นอิงมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆลับหายไป