เรื่องเล่าขานที่ ๗ จุมพิตที่ไม่ใช่การจุมพิต
เรื่องเล่าขานที่ ๗
จุมพิตที่ไม่ใช่การจุมพิต
ฤดูหนาว
ย่างเข้าสัปดาห์ที่สามแล้วที่นางมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองและต่างมิติ มิรู้ว่าเวลาในโลกเดิมของตนจะเดินเช่นโลกใบนี้หรือไม่ เหล่าราษฎร จะเป็นเช่นไรกันบ้าง ครานี้ แคว้นของนางคงมีฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว
โย่วหวาง….ท่านเป็นเช่นไรบ้าง
ร่างระหงในชุดสีขาวสวมคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีดำ ยืนนิ่งอยู่บนสะพานไม้สีขาวหน้าห้องของตน ผมยาวสีดำดุจเส้นไหมปลิวสยายไปตามลมที่พัดผ่าน ดวงตาหงส์เหม่อมองออกไปไกลยังทะเลสาบที่กว้างยาวแห่งนี้ ในใจหวนคิดถึงบ้านเมืองที่จากมาพลันให้ดวงตางามปรากฏรอยรื้นเล็กๆ
เจียอิงเดินมาพร้อมถาดที่มีจานใส่ขนมและชุดน้ำชาจำต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นความหม่นหมองเศร้าซึมที่ฉายออกมาเคลือบร่างบาง จากการอยู่ด้วยกันมาหลายสัปดาห์ เจียอิงสรุปในใจได้ว่า บนโลกมนุษย์ แม่นางลั่วคงพบเจอความโหดร้ายมาไม่น้อยเป็นแน่
สตรีในวัยยังสาว สวมเสื้อผ้าสีขาวบ้างสีดำบ้างสลับกันราวกับไว้ทุกข์ เจียอิงไม่ทราบว่านางประสบพบเจอสิ่งใดและก็ไม่อาจจะถามได้ เพราะกลัวว่าจะไปสะกิดแผลในใจของแม่นางเข้า สิ่งที่ทำได้ คือการอยู่เป็นเพื่อนและชวนพูดคุยเรื่องต่างๆให้นางมิจมอยู่กับความทุกข์นี้จนเกินไป
เจียอิงปรับสีหน้าให้สดใสร้องเรียกร่างอรชรที่เหม่อลอยอยู่ให้หันมาสนใจตน
“แม่นางลั่ว”
ลั่วเริ่นอิงคืนจากห้วงภวังค์ นางรีบกลบความทุกข์ระทมในใจ แทนที่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนหันไปทางผู้เรียก
“แม่นางเจีย”
“ข้านำขนมมาให้ พึ่งทำเสร็จ หากชิมแล้วเจ้าจักติดใจเป็นแน่”
“ขอบคุณแม่นางเจีย ลำบากท่านแล้ว”
เจียอิงส่ายหน้ากล่าวอย่างร่าเริง “มิลำบาก มิลำบาก ตัวข้าทำอยู่เป็นประจำ เพราะฝ่าบาทมิชมชอบรสมือผู้อื่น”
ลั่วเริ่นอิงคลี่ยิ้ม รับถาดมาถือไว้เอง สตรีทั้งสองพากันเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงยังชุดเก้าอี้รับแขกสี่ที่
“ฝ่าบาทต้องรักท่านมากเป็นแน่” ลั่วเริ่นอิงเอ่ยเย้า หญิงหมื่นปีใบหน้าเด็กฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ทั้งน้ำเสียงที่กล่าวก็รักใคร่เทิดทูน
“พระองค์เป็นเด็กดี ว่าง่าย น่ารัก และฉลาดปราดเปรื่องกว่าผู้ใด”
ลั่วเริ่นอิงคิดตาม หากเฉียนเย่เจาเป็นเช่นนั้นจริง กิริยาโอหังแสนเย็นชาที่นางเห็นตั้งแต่วันแรก จนมาถึงวันนี้ ทำให้รู้สึกขัดแย้งเล็กน้อยกับสิ่งที่เจียอิงกล่าวมา
‘บางที อาจเป็นตอนยังเล็ก’
เมื่อสรุปกับใจตนเองได้แล้วก็เอ่ยพูดขึ้นบ้าง
“ข้าเคยได้ยินมาว่า มนุษย์หมาป่านั้นอายุยืนยาว พวกท่านนับอายุกันเช่นไรหรือ?”
เจียอิงหันมองแม่นางลั่ว พลางเอ่ยตอบ
“นับตามปกติ อายุเรามิได้ยืนยาว เพียงแค่ ร่างกายจะหยุดเท่าที่พลังหมาป่าปรากฏ บางผู้ก็กว่าจะปรากฏก็ราวอายุสามสิบปี ของมนุษย์ก็มี”
“เช่นนั้น หากปรากฏช้าจะมิลำบากแย่หรือ?”
เจียอิงมองสตรีโตเต็มวัยที่ยามนี้กลายเป็นสาวน้อยใคร่รู้เรื่องต่างๆอย่างเอ็นดู เอ่ยตอบ
“ก็อาจมีบ้าง แต่คำสาปนั้นติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ถึงพลังจะปรากฏช้าก็มิเป็นเช่นไร หากอยู่ในสายเลือดตระกูลสูงมีอาจารย์คอยสั่งสอนชี้แนะ การสร้างเสริมพลังลมปราณก็ทำให้มีวรยุทธโดยไม่ต้องพึ่งพลังของหมาป่าได้”
“เช่นนี้เอง”
“หากเจ้าสนใจในเรื่องราวของเรา ที่หอคัมภีร์มีหนังสือที่กล่าวถึงการถือกำเนิดมนุษย์หมาป่าเก็บไว้อยู่”
ลั่วเริ่นอิงประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้น “ข้าอ่านได้หรือ?”
“ย่อมได้” เจียอิงพยักหน้า รอบสังเกตแววตาของแม่นางลั่วที่ฉายความสดใสขึ้นมาแต่เพียงแวบเดียวก็จางหายแทนที่ด้วยความเสียดาย
“ไม่เป็นอันใด ข้ารู้เพียงเท่านี้ก็พอ”
เจียอิงสงสัย คาดเดาว่า นางคงรู้สึกว่าตนเป็นคนนอก จึงรีบพูดขึ้น
“หากท่านอยากอ่าน ย่อมอ่านได้เสมอ ไปเถิด ข้าจะพาไป”
ไม่เพียงกล่าว เจียอิงยังคว้าข้อมือลั่วเริ่นอิงให้เดินออกมาจากห้อง
องค์หญิงแห่งจิงเหรียนตกใจ จะร้องปฏิเสธก็ไม่มีโอกาส จึงยอมให้โดนลากไปแต่โดยดี
*******
หอคัมภีร์ เป็นสถานที่ทรงภูมิแห่งสระมรกต จากการใช้ชีวิตอยู่ที่สระมรกตมาหลายสัปดาห์ แม้จะไม่ได้ออกไปเดินรอบๆตำหนัก แต่ยามไปห้องอาหาร ลั่วเริ่นอิงมักจะเห็นว่ามีบุรุษและสตรี สวมเครื่องแบบสีเงินเดินเข้าออกหอคัมภีร์อยู่เสมอ ทั้งเฉียนเย่เจาก็มักใช้เวลาอยู่ที่หอคัมภีร์แห่งนี้ นางไม่ทราบว่าคนหลากหลายเหล่านั้นเป็นผู้ใด เนื่องว่ากิริยาท่าทางมิเหมือนข้ารับใช้ อีกทั้ง ครั้งที่ได้ไปหอคัมภีร์ จากการมองคร่าวๆแล้ว หอคัมภีร์ของที่นี่ใหญ่โต มีตำราหนังสือมากมายแน่นอยู่บนชั้นที่สูงจนถึงหลังคา หนังสือแทบทุกชั้นมิมีฝุ่นเกาะ เห็นได้ชัดว่า ชาวหมาป่าที่สระมรกตนิยมฝักไฝ่ค้นคว้าอ่านตำรากันเป็นกิจวัตร
ประตูถูกเปิดออก พร้อมสตรีทั้งสองที่ก้าวเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ลั่วเริ่นอิงพบเห็นคือร่างสูงของเฉียนเย่เจาในชุดสีเหลืองทอง วันนี้เครื่องแต่งกายเขามากกว่าทุกวัน เหตุใดจึงทราบเช่นนั้นหรือ….
ด้วยอาหารเช้าและเย็นนางต้องร่วมรับประทานอาหารกับเฉียนเย่เจาและเจียอิง จึงได้พบหน้ากันทุกวัน แต่หากวันใดที่เขามีธุระนางก็ทานอาหารร่วมกับเจียอิง กิจวัตรของชาวสระมรกตเรียบง่าย ไม่หวือหวา ส่วนมากทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ที่ตำหนัก มิออกไปที่ใด เฉียนเย่เจาก็เช่นกัน
“ฝ่าบาท” สตรีทั้งสองประสานมือโน้มกายทำความเคารพ เจ้าของสระมรกตแห่งนี้
เฉียนเย่เจาชะงักพู่กันในมือ เงยหน้าขึ้น เมื่อพบว่าผู้ใดอยู่ข้างๆเจียอิง ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงเขียนต่อมิได้เอ่ยทักหรือเอ่ยท้วง
ลั่วเริ่นอิงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเดินออกไปดีหรือไม่ เจียอิงเห็นถึงความลำบากใจของแม่นางน้อย จึงเอ่ยขึ้น
“หม่อมฉัน เห็นว่า แม่นางลั่วว่างนัก จึงเชิญแม่นางมาหาตำราอ่านเล่น ฝ่าบาทมิทรงว่ากระไรนะเพคะ”
ลั่วเริ่นอิงเผลอกลั้นหายใจ กลัวเขาจะไล่ตะเพิดหรือว่ากล่าวให้เจ็บๆแสบๆ แต่คำที่เอ่ยออกมากจากองค์ชายหมาป่า มีเพียงคำว่า
“เลือกเอา”
คำสั้นๆ แต่ทำให้คนตกใจอย่างหนัก เจียอิงอมยิ้ม ด้วยรู้ว่า ฝ่าบาทต้องกล่าวเช่นนี้
‘สมแล้วที่เลี้ยงมาแต่น้อย’
“แม่นางลั่ว เชิญเถิด”
ลั่วเริ่นอิงคืนสติมาเล็กน้อย รีบกล่าวขอบคุณ รัชทายาท
“ขอบพระทัยเพคะ”
มิมีเสียงตอบรับจากเขา ซึ่งก็ดีแล้ว มิเสวนากันมากความ นั้นดีที่สุด
ลั่วเริ่นอิงเดินไปยังชั้นหนังสือ นางกวาดตามองไปเรื่อยๆ มิรู้ว่าตนควรอ่านสิ่งใด เลือกอยู่สักพักก็ไม่ได้หนังสือ จึงหันกายหมายจะสอบถามแม่นางเจียแต่แทนที่จะได้พบเจียอิงที่ยืนอยู่ด้านหลังนางกลับปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของบุรุษสวมอาภรณ์สีทอง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาคมสีน้ำตาลที่จ้องมองมา พลันหัวใจกระตุก ทั้งตกใจและมึนงง
‘เขามายืนอยู่ด้านหลัง ตั้งแต่เมื่อใด?’
ได้แต่สงสัยแต่ไม่เอ่ยถาม นาน ที่จ้องตากันอยู่เช่นนั้น ลั่วเริ่นอิงจึงรวบรวมความกล้า ถามออกไป
“คือ ท่าน จะเอาหนังสือบริเวณนี้หรือ?”
“…….”
เงียบ ไร้การตอบกลับ
ลั่วเริ่นอิงถอนหายใจเบาๆกับตนเอง นางจะถามเขาไปใย เขายืนอยู่ด้านหลัง ก็คงหมายจะเอาหนังสือบริเวณนี้และตนยืนบังอยู่ เขามิต้องการพูดคุย จึงยืนนิ่ง เมื่อหาคำตอบให้ตนเองได้แล้ว จึงหมายจะเบี่ยงกายหลบ แต่พอนางขยับตัว กลับถูกรวบเข้าหา ลั่วเริ่นอิงตกใจเงยหน้ามองเฉียนเย่เจาอีกครั้งและนั่น เป็นการกระทำที่ผิดอย่างมาก เมื่อนางเงยหน้าขึ้น วงหน้าหล่อเหลาของเฉียนเย่เจาก็ก้มลงมาและกระทำการที่น่าเกลียดอย่างไม่น่าให้อภัย
ริมฝีปากของบุรุษประทับลงมาที่ริมฝีปากนาง ลั่วเริ่นอิงเบิกตากว้าง สองมือยกขึ้นผลักเขา แต่ร่างสูงกว่ากลับไม่สะทกสะท้าน ยิ่งนางดิ้น เอวของตนก็ถูกรวบกระชับเข้าหาเขามากขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ดวงตาหงส์ที่มีความอ่อนโยนเสมอฉายแววโกรธเกรี้ยว
เฉียนเย่เจาขมวดคิ้ว คล้ายประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นก็ต้องทำให้เสร็จ เมื่อนางเม้มปากแน่นสู้ บุรุษจึงใช้ฟันกัดริมฝีปากบางให้เผยอออก ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป
ลั่วเริ่นอิงตื่นตะลึง เขาล่วงเกินนางเกินไป แม้จะเป็นผู้มีพระคุณ แต่เขากระทำเช่นนี้ เหมือนไม่เห็นนางเป็นคน มีชีวิตมีจิตใจเท่าเทียมเขา
ความโกรธทำให้ตัดสินใจเอาความรุนแรงเข้าสู้ทั้งที่คิดมาตลอดว่าการใช้กำลังนั้นมิสมควร ลั่วเริ่นอิงกัดลิ้นเฉียนเย่เจา อย่างแรงจนรู้สึกถึงกลิ่นเลือดในปาก
“อืม…” เฉียนเย่เจาครางลึกในลำคอ กดร่างพยศเข้ากับชั้นหนังสือรีบคายสิ่งหนึ่งใช้ลิ้นดันให้ลงคอของแม่หงส์ป่าจอมพยศ
ลั่วเริ่นอิงรู้สึกว่าตนกลืนบางสิ่งก็ชะงัก หยุดความเคลื่อนไหวต่างๆเป็นจังหวะเดียวกับที่เฉียนเย่เจาผละกายถอนริมฝีปากออกจากปากนาง ใบหน้าของเขาเย็นเยียบยามเลียเลือดที่มุมปาก ดวงตาเย็นชาหันมามองนางกล่าวเสียงเย็น
“เจ้ากัดข้า”
ลั่วเริ่นอิงคืนสติ เอ่ยต่อว่าเขากลับ
“ท่าน ท่านล่วงเกินข้า”
“ข้า?”
เฉียนเย่เจาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะแสยะยิ้มมองนางราวกับมองสิ่งประหลาด
“ข้าแค่มอบลูกแก้วหมาป่าให้เจ้า เพื่อกลบกลิ่นกายมนุษย์”
ลั่วเริ่นอิงเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าพลันซีดแดง สลับกันไปมา แต่ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นจึงเถียงออกไป
“แล้วเหตุใดต้อง ต้องทำเช่นนี้ มอบโดยวิธีอื่นมิได้หรือไร?”
เฉียนเย่เจานึกรำคาญนางนัก มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ คิดวุ่นวายมากความ
“มันอยู่ในกายข้า หากไม่ใช้วิธีกลืนลงไป ก็ต้องผ่าออกมาให้เจ้า ข้าต้องทนเจ็บเพื่อเจ้าเช่นนั้นสิ”
มิเพียงใช้สำเนียงเย้ยหยัน เขายังมองนางราวกับเป็นคนโง่เง่า
จบคำกล่าว ลั่วเริ่นอิงก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น
เฉียนเย่เจาทิ้งสายตาเย็นชาให้นาง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิม ลงมือเขียนอักษรต่อ มิสนใจสตรีที่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ใบหน้างามแดงจัด อดกล่าวแย้งในใจมิได้ว่า
‘แล้วเหตุใดมิแจ้งก่อนเล่า’