เรื่องเล่าขานที่ ๖ ตัดสินใจ
เรื่องเล่าขานที่ ๖
ตัดสินใจ
ผ่านมาครู่ใหญ่แล้วที่สองสายตาประสานกัน หลังจบประโยคเมื่อครู่ของเฉียนเย่เจา ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใด
ลั่วเริ่นอิงจ้องมองผู้มีบุญคุณนิ่ง ดวงตาหงส์เบิกกว้างจนในที่สุด นางก็เอ่ยออกมา
“ท่าน…ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
เฉียนเย่เจามีสีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับน้ำเสียงเรียบๆ
“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ”
ใบหน้าองค์หญิงซีดในทันใด ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นในใจของนาง
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงนิ่งไปนาน นางจ้องสู้สายตาของเฉียนเย่เจา
เฉียนเย่เจาเองก็มิได้หลบสายตา ในห้องที่นิ่งเงียบ ลั่วเริ่นอิงมิทราบว่าต้องทำสิ่งใดต่อไปนั้น โชคยังดีที่ประตูเปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือผู้ช่วยชีวิตนางโดยแท้
เฉียนเย่เจาละสายตาออกจากนาง ลั่วเริ่นอิงจึงหายใจสะดวกขึ้น
โฉมงามถอนหายใจออกมารีบปรับสีหน้าให้สดใสไม่ให้มีพิรุธส่งยิ้มให้เจียอิงที่เข้ามาได้จังหวะพอดี
“แม่นางลั่ว ท่านฟื้นแล้ว”
ลั่วเริ่นอิงหย่อนขาลงจากเตียงลุกขึ้น ประสานมือโน้มกายลง ทักทายแม่นางเจีย หญิงสูงวัยแต่หน้าเด็กรีบเข้ามาประคองร้องห้าม
“อย่าเจ้าค่ะ ร่างกายท่านยังมิแข็งแรง นั่งลงเถิด”
ลั่วเริ่นอิงส่ายหน้าบอกเจียอิง “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
เจียอิงอมยิ้ม เอ็นดูแม่นางผู้นี้นัก
“มาเถิด ข้าจะพาท่านไปชำระล้างกายผลัดผ้าให้สะอาด”
เฉียนเย่เจามองสตรีทั้งสองที่ทำเหมือนเขามิได้อยู่ตรงนี้ ร่างสูงสง่าขององค์ชายหมาป่าเดินออกไปจากห้องเงียบๆ มิคิดจะเอ่ยบอกผู้ใด เขาเดินตรงไปยังทางไปห้องอาบน้ำ ข้ารับใช้ที่อยู่หน้าห้องเห็นองค์รัชทายาทเดินไปก็รีบเดินตามเพื่อปรนนิบัตินายเหนือหัวของพวกนาง
ห้องอาบน้ำ เจียอิงให้นางกำนัลนำถังไม้แช่น้ำเข้ามาในห้อง พร้อมเสื้อผ้าหลายชุด ลั่วเริ่นอิงด้วยเคยชินกับการมีผู้มาปรนนิบัตก็มิได้เคอะเขิน แต่ก็เกรงใจจึงได้เอ่ยบอกเจียอิง
“ข้าทำเองได้นะจ๊ะ”
เจียอิงที่ง่วนอยู่กับการเตรียมน้ำให้ลั่วเริ่นอิงได้ยินที่แม่นางบอกก็ส่ายหน้ากล่าวขึ้นน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ข้าทำให้ดีกว่า”
“แต่…”
ลั่วเริ่นอิงตั้งใจจะแย้ง แต่เจียอิงเข้ามาดึงแขนแม่นางลั่วไปเสียก่อน นางกำนัลสองคนเข้ามาถอดเสื้อผ้าของนาง ลั่วเริ่นอิงเห็นท่าว่าถึงจะปฏิเสธไปก็คงไม่ช่วยอะไรจึงอยู่นิ่งๆยอมให้พวกนางปรนนิบัต เมื่อถอดชุดออกหมดแล้ว จึงเผยเรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผ่อง ทั้งนางกำนัลและเจียอิงก็เบิกตากว้าง สายตาชื่นชม เรือนร่างอรชรทรวดทรงงดงามรับกันไปหมด ผิวขาวเนียนละเอียด บอกให้ทราบว่าแม่นางผู้นี้ต้องเป็นบุตรธิดาขุนนางหรือไม่ก็องค์หญิงในโลกมนุษย์เมืองใดเมืองหนึ่ง
ลั่วเริ่นอิงก้าวลงอ่างไม้ ท่าทางลื่นไหลมิเคอะเขิน
“ผิวและรูปร่างเจ้าดียิ่ง” เจียอิงกล่าวชม
ลั่วเรินอิงส่งยิ้มให้ นางเคยชินเสียแล้วที่มีผู้เอ่ยชมเรือนร่างของตนจึงไม่เขินอาย
เจียอิงและสาวใช้ต่างพิถีพิถันในการอาบน้ำให้แม่นางลั่ว อาบไปก็ชื่นชมไป คิดในใจอย่างยินดีว่า
‘แม่นางผู้นี้ช่างเหมาะกับ รัชทายาทของนางยิ่ง’
เมื่ออาบน้ำเสร็จ ก็มาแต่งกาย เจียอิงนำชุดมาให้ลั่วเริ่นอิงเลือก ลั่วเริ่นอิงมองชุดหลากสีสันแล้วใบหน้าก็เศร้าลง บ้านเมืองประชาชน เครือญาติต่างล้มตาย แต่นางกลับรอดชีวิตมาสุขสบายที่ต่างบ้านเช่นนี้ ช่างไม่ยุติธรรม
แม่นางลั่วเลือกชุดสีขาวมาทั้งชุด เจียอิงประหลาดใจแต่ไม่ได้เอ่ยถาม เมื่อสวมให้แล้ว ชุดสีขาวเรียบๆกลับมิดูขัดตา ยิ่งทำให้นางงามสง่าโดดเด่น ราวเซียนสตรี เจียอิงยิ้มอย่างพอใจ
“ท่านโปรดทำผมเรียบง่ายให้ข้าได้หรือไม่?”
น้ำเสียงอ่อนเอ่ยขึ้นลักษณะขอร้อง เจียอิงจึงยอมเปลี่ยนทรงให้นาง
ผมยาวถึงสะโพกปล่อยสยาย เกล้าขึ้นศรีษะปักปิ่นหยกที่แม่นางลั่วเลือกเอง บนหน้าไร้การแต้มชาดใดๆ เพียงเท่านี้ แม่นางก็งดงามสะกดสายตามากแล้ว
ลั่วเริ่นอิงลุกขึ้น กุมมือกล่าวขอบคุณเจียอิงและสาวใช้ทั้งสอง
นางกำนัลตื่นตกใจเมื่อถูกแขกของรัชทายาทขอบคุณ มองหน้ากันเลิ่กลัก
ลั่วเริ่นอิงรู้ว่าคงทำให้พวกนางตกใจ แต่ตนนั้นเป็นเพียงผู้อาศัยจะยกตนว่าเป็นองค์หญิงนั้นก็มิใช่ ด้วยในยามนี้ สถานะของนางเป็นเพียงสตรีที่ไร้บ้านเพียงเท่านั้น
เจียอิงรีบปัดเป่าบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ออกไปด้วยการเชิญแม่นางลั่วไปทานอาหาร
“นี่ก็ได้เวลาแล้ว เราไปทานอาหารเช้ากันเถิด”
“จ๊ะ” ลั่วเริ่นอิงตอบรับ
เจียอิงรีบจูงมือแม่นางน้อยไปยังห้องอาหาร
ห้องอาหารขนาดใหญ่ ในนั้นมีร่างของบุรุษสี่คนนั่งอยู่ หนึ่งคนตรงหัวโต๊ะนั้น ลั่วเริ่นอิงพอทราบว่าคือเฉียนเย่เจา แต่อีกสามผู้นั้น นางมิทราบ
ทั้งสามมองนางอย่างตกตะลึง ด้วยไม่คาดว่าจะได้พบ สตรีมนุษย์ไวถึงเพียงนี้
“องค์ชายทั้งสาม” เจียอิงโค้งกายคำนับทักทาย
ขุนพลหมาป่าทั้งสามจึงพยักหน้า แม้นสายตามิได้ละออกจากสตรีข้างๆเจียอิง
ลั่วเริ่นอิงเก็บข้อมูลเงียบๆ ที่นี่ใหญ่โตและหรูหรา ตัวนางทราบตั้งแต่เมื่อวานว่า เฉียนเย่เจาเป็นสิ่งใด และคนเหล่านี้รวมทั้งเจียอิงก็คงจักเป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่นางมิพูดและไม่โวยวาย เนื่องทำความเข้าใจว่า พวกเขาช่วยนาง นางคิดว่า หากเขาจะกินนาง เขาคงกินไปตั้งแต่วันแรก และไม่ไปช่วยนางเช่นเมื่อวาน นางมิควรรังเกียจและหวาดกลัวผู้มีพระคุณเพียงเพราะเขามิใช่คนเหมือนนาง
ลั่วเริ่นอิงประสานมือโน้มกายลง กิริยางดงามเรียบร้อย ความสูงศักดิ์แผ่ออกมาจากกายนาง ยิ่งทำให้ขุนพลทั้งสามเบิกตาโตขึ้นไปอีก
‘นี่หรือ ชายารัชทายาท สมกันสมกัน’
เฉียนหลงเป่า คิดในใจอย่างชื่นชม แม้นนางจะเป็นมนุษย์ แต่เขาก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า นางมิเหมาะสม ทั้งกิริยา รูปร่าง หน้าตา กลิ่นอายที่ไม่ได้ต่างจาก เฉียนเย่เจา ยิ่งปฏิเสธมิได้ใหญ่ นางงดงาม งามอย่างหาที่ใดมิได้ หากพบสตรีเช่นนี้ แม้นเป็นมนุษย์ ตัวเขาก็อาจจะบอกยากว่าตน จะมิเผลอไปผูกจิต
“ลั่วเริ่นอิง คาราวะ ท่านทั้งสาม”
ขุนพลทั้งสามอึ้งไปแล้ว
เจียอิงเห็นเช่นนั้นจึงกระแอมกระไอเพื่อเรียกสติ
ดีที่ เฉียนไฮ่เจินสติกลับคืนมารวดเร็ว จึงสะกิดสหายทั้งสองให้ลุกตาม ทำความเคารพกลับแม่นางมนุษย์
เมื่อทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ทั้งหมดจึงไปนั่งยังที่ของตน เจียอิงจูงมือลั่วเริ่นอิงไปนั่งอีกฝั่งข้างๆเฉียนเย่เจา
ลั่วเริ่นอิงเผลอไปมองหน้าเฉียนเย่เจา พลันเหตุการณ์เมื่อเช้าก็ผุดขึ้นในหัวใบหน้างามจึงแดงก่ำ
เฉียนเย่เจามิได้สนใจ เมื่อคนมาครบก็ลงเมื่อทานอาหาร ทั้งโต๊ะเงียบกริบ มีเพียงเจียอิงที่ค่อยคีบอาหารและพูดคุยให้ลั่วเริ่นอิงไม่เกร็งจนเกินไป
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าทุกคนบนโต๊ะก็กินเสร็จ เฉียนเย่เจาลุกขึ้นเป็นคนแรกขุนพลทั้งสามมองหน้ากัน ลุกขึ้นตามโดยมองหญิงมนุษย์เล็กน้อย ก่อนจะผินหน้ากลับเดินออกไปจากห้องอาหาร
ลั่วเริ่นอิงมองตามแผ่นหลังของเฉียนเย่เจา เจียอิงเอ่ยขึ้น ลั่วเริ่นอิงจึงดึงสายตาหันมามองเจียอิงแทน
“ข้าจะพาท่านไปดูห้องพัก”
ลั่วเริ่นอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ห้องที่ข้าใช้นอนมิใช่ ห้องที่ข้าต้องอยู่หรือ?”
เจียอิงอมยิ้ม กล่าวตอบ “มิใช่ นั่นห้องเฉียนเย่เจา”
ลั่วเริ่นอิงเบิกตากว้าง ยอมรับว่านางตกใจยิ่ง มิน่าเล่า เขาถึงได้นอนที่นั่น แต่เหตุใดมินำนางไปไว้ห้องอื่น
สงสัยแต่มิได้ถามออกไป นางลุกขึ้นเดินตามเจียอิงไป เมื่อเดินมาเรื่อยๆก็ปรากฏสะพานไม้สีขาวทอดยาวไปยังตัวเรือนตรงข้าม เมื่อเดินมาถึงสะพาน ลั่วเริ่นอิงจึงพบกับทะเลสาบขนาดใหญ่
“เหตุใดเรือนนี่จึงมีทะเลสาบ?”
เจียอิงหยุดเดิน หันมาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว
“จวนนี่อยู่กลางทะเลสาบเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เจียอิงตอบกลับมา ลั่วเริ่นอิงก็ตกใจ นางเคยเห็นแต่ศาลาพักพิงกลางทะเสสาบแต่ไม่เคยได้ยินว่า เรือนทั้งเรือนจะสร้างอยู่กลางทะเลสาบได้ด้วย จากการเดินสำรวจในครั้งนี้ ลั่วเริ่นอิงคาดเดาว่าจวนทั้งจวนต้องใหญ่โตมากเป็นแน่
“นะ…น้ำไม่ท่วมหรือ?”
เจียอิงส่ายหน้า มองแม่นางน้อยอย่างขำขันระคนเอ็นดู
“ไม่ต้องกลัว ตำหนักนี้สร้างมานาน ตั้งแต่ข้าอยู่มา ยังมิเคยน้ำท่วม หรือ ตัวเรือนผุพังอันใด”
‘จะให้ผุพังโดนน้ำกัดเซาะและท่วมได้อย่างไร เมื่อตัวเรือน ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ’
“ไปเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะพาแม่นางไปพบ องค์ชาย ยามนั้น หากท่านสงสัยอันใดก็สอบถามพระองค์”
‘ถามเฉียนเย่เจา เช่นนั้นหรือ….ใครจะกล้า’
ลั่วเริ่นอิงคิดในใจแต่ก็ยอมเดินตามเจียอิงไป
ในห้องขนาดใหญ่เล็กกว่าห้องของเฉียนเย่เจาเล็กน้อย แต่เครื่องเรือนก็ครบครันหรูหรามิต่างกันโทนสีห้องเป็นสีครีมน้ำตาล ต่างจากห้องเฉียนเย่เจาที่เป็นสีทองและสีเงิน
“ชอบหรือไม่?”
เจียอิงที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถามขึ้น
ลั่วเริ่นอิงหันกลับมาหาสตรีที่ช่วยเหลือและดูแลตนมาหลายวัน นางประสานมือโน้มกายลง เจียอิงจับแขนทั้งสองข้างของแม่นางลั่วไว้
ลั่วเริ่นอิงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้พลางยืดกายตรง
“ขอบคุณแม่นางเจียที่เมตตา”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ขอบคุณเจ้าของสระมรกตแห่งนี้ดีกว่า”
เจียอิงกล่าวยิ้มๆพลางหันกายเตรียมเดินออกจากห้อง
ลั่วเริ่นอิงนึกไปถึงเฉียนเย่เจาใบหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดสลับกันไปมา ไม่รู้เหตุใดการอยู่ใกล้เขาทำให้จิตใจนางมิสงบ
“ไปเถอะ เฉียนเย่เจามิชมชอบการรอผู้ใดนานๆ”
“เจ้าค่ะ” ลั่วเริ่นอิงรับคำ เดินตามเจียอิงไป
ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ มีชั้นหนังสืออยู่ด้านหลังโต๊ะไม้ขัดหยาบเนื้อสีน้ำตาลหลายตัว ทุกตัวจะเว้นระยะห่างราวหนึ่งคนกั้น ตัวโต๊ะหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม ชั้นหนังสือติดกับกำแพงไล่ขึ้นไปสูงจนถึงหลังคา บรรจุหนังสือหลายแสนเล่ม
เฉียนเย่เจานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวกลาง บุรุษสวมชุดสีฟ้าอ่อน ผมดำเงารวบเกล้าครึ่งศรีษะปักปิ่นหยกไว้หลวมๆปล่อยปรอยผมด้านหน้าลงมาเล็กน้อย ส่วนผมที่เหลือก็ปล่อยสยายไปด้านหลัง ในมือถือหนังสือ มองแล้วหากไม่ทราบมาก่อนว่าคนตรงหน้าเป็นองค์ชายหมาป่า คงต้องมองว่าเขาคือบัณทิตหนุ่มที่รูปงามที่สุดเป็นแน่
“รัชทายาทเพคะ ท่านเจียอิง และแม่นางลั่วมาแล้วเพคะ”
นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกร้องบอก เฉียนเย่เจาวางหนังสือในมือลุกขึ้น เอ่ยเสียงเรียบตอบกลับ
“ให้เข้ามา”
“เพคะ”
ประตูถูกเลื่อนเปิด พร้อมกับสตรีสองนางก้าวเข้ามา
“รัชทายาท”
เจียอิงและลั่วเริ่นอิงประสานมือคาราวะ เฉียนเย่เจาพยักหน้าร้องบอก
“เชิญนั่ง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เจียอิงผายมือให้ลั่วเริ่นอิงเลือกที่นั่งก่อน ลั่วเริ่นอิงมองที่นั่งเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงทางฝั่งขวา ห่างจากเฉียนเย่เจาไปหนึ่งโต๊ะ
องค์ชายหมาป่าลอบมองเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกไป เจียอิงเดินไปยังมุมหนึ่งเพื่อชงชา
“เจ้าคงมีคำถามมากมาย เชิญเจ้าถามมาก่อน”
เฉียนเย่เจาเอ่ยขึ้นก่อน ลั่วเริ่นอิงปรายตามององค์ชายหมาป่าเล็กน้อย นางนิ่งคิดว่าควรถามสิ่งใดออกไปก่อน เมื่อเลือกได้แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“ที่นี่คือที่ใดหรือเพคะ?”
เฉียนเย่เจามองสตรีมนุษย์ ดวงตาหมาป่าคมกริบจับจ้องมาที่นางจนรู้สึกร้อนๆหนาวๆ
“ที่นี่คือ…อาณาจักรเฉียนหลัง หรือ ดินแดนมนุษย์หมาป่า”
เมื่อได้รับคำยืนยัน แม้จะทราบมาก่อนแล้ว แต่ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ คำถามต่อมาจึงเบาหวิว
“ท่านคือเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้หรือ?”
ถามออกไปทั้งที่จ้องเขาอยู่
เฉียนเย่เจาก็มิได้ละสายตาไปจากนางเช่นกัน
เจียอิงนำถ้วยชาวางลงตรงหน้านาง ก่อนจะเดินไปวางให้ยังโต๊ะของเฉียนเย่เจา
“ใช่…และ มิใช่ ข้าเป็นผู้สืบทอดคนต่อไป”
‘มิน่าเล่า ทุกผู้ถึงนอบน้อมและเรียกเขาว่า รัชทายาท’
ลั่วเริ่นอิงกล่าวกับตนในใจ และคำถามสุดท้ายที่นางอยากทราบมากที่สุด
“เหตุใด ท่านจึงช่วยข้า?”
ครานี้ ดวงตาของเฉียนเย่เจาที่จ้องมองมาปรากฏแววสั่นไหว….เนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยขึ้น
“เพราะเจ้า…คือคนในคำทำนาย”
‘ทำนาย’ “ทำนายสิ่งใดหรือ?”
บรรยากาศในห้องพลันเกิดความอึดอัด นางมิทราบว่าตนคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่า ดวงตาของเฉียนเย่เจาดำมืดมากขึ้น ดวงตาของเขาคล้ายบีบนางให้เหลือตัวเล็กนิดเดียว และยามที่เขาเอ่ยตอบ ความรู้สึกหนาวไปทั้งแผ่นหลังก็บังเกิด
“ถอนคำสาปให้พวกข้า”
ความรู้สึกเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านร่าง ลั่วเริ่นอิงคล้ายคนสติหลุด นางนั่งนิ่งลืมแม้แต่จะหายใจ
สวรรค์ ตัวข้าที่รอดพ้นจากการก่อกบฏ รอดพ้นจากความตายของหมาป่า แต่ยามนี้ ตนกลับจะถูกนำไปเป็นเครื่องบูชายัญเช่นนั้นหรือ
ชีวิตนางราวกับยืนอยู่บนปากเหวขาข้างหนึ่งนั้นก้าวออกไปแล้ว นางจะล่วงลงไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
เจียอิงสังเกตเห็นว่าแม่นางลั่วเงียบไปก็คิดว่านางคงกำลังคิดอะไรที่โหดร้ายอยู่เป็นแน่จึงเอ่ยช่วยแก้ความเข้าใจผิดนี้
“แม่นางลั่ว อย่าคิดเช่นนั้น เผ่าพันธุ์ของเรามิคิดนำใครเป็นเครื่องสังเวย”
ลั่วเริ่นอิงหันไปหาเจียอิง เอ่ยถามเสียงเรียบ นัยน์ตาว่างเปล่า
“แล้วจะต้องถอนคำสาปอย่างไร?”
ตัวนางมิได้กลัวตาย ชีวิตนางเกือบตายมาหลายครั้ง หากจะตายจริง ตายให้ผู้มีพระคุณนั้นถือว่ามิน่าเสียดาย เยี่ยงไรสตรีเช่นนาง ได้มีคุณประโยชน์บ้างก็ไม่เสียชาติเกิด
“เรื่องนี้ เรากำลังสืบหากันอยู่ จึงขอให้เจ้าอยู่ที่นี่สักพัก”
“แล้วพวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นข้า?”
ทั้งเจียอิงและเฉียนเย่เจาหันมามองกัน ดังคำที่นางถาม พวกเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นนาง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจ คือนางและเขาได้…ผูกจิตกัน นั่นคือเรื่องจริง
“ในตำรากล่าวว่า หากมีสตรีมนุษย์ข้ามเขตอาคมมาได้ ในวันที่ท้องฟ้าสว่างในยามกลางคืน และพื้นปกคลุมด้วยสีขาว หญิงผู้นั้นคือผู้ถอนคำสาป”
เจียอิงกล่าวขึ้นแทนเฉียนเย่เจาที่เงียบไป
ลั่วเริ่นอิงหันมามองเจียอิงและเฉียนเย่เจา นางนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงตัดสินใจตอบรับ
“ตัวข้าเป็นเพียงคนพลัดบ้านไร้ถิ่นที่อยู่ บุญคุณที่ท่านช่วยชีวิต ข้านั้นย่อมตอบแทน”
เฉียนเย่เจาผินหน้ากลับมาสบตาสตรีมนุษย์ ดวงตานางที่จ้องมาแน่วแน่ ไร้การเสแสร้ง องค์ชายหมาป่ารู้สึกถึงหัวใจที่อุ่นวาบของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาเอ่ยถามนาง
“บอกนามของเจ้ามาให้ชัดอีกครา”
“ตัวข้า…นามว่าลั่วเริ่นอิง”
หลังจบประโยคพลันหัวใจเขาก็กระตุก น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยต่อว่า….. “ลั่วอิง”