บท
ตั้งค่า

เรื่องเล่าขานที่ ๙ เหตุเกิดเพราะปีศาจงู

เรื่องเล่าขานที่ ๙

เหตุเกิดเพราะปีศาจงู

ยามอุ้ย สระมรกต

เฉียนหลงเป่าเดินทางมาที่สระมรกต ด้วยมีเรื่องต้องแจ้งให้ รัชทายาท ทรงทราบ

หลายวันก่อน ทิศประจิม ชาวหมาป่าสายเลือดสามัญเข้าไปหาอาหาร เกิดพบเข้ากับงู คราแรกพวกเขาคิดว่าเป็นงูธรรมดา จึงไม่ได้สนใจ รีบหากินแล้วตั้งใจรีบกลับแต่ระหว่างหากินนั้น เจ้างูธรรมดาก็กลายร่างเป็นงูยักษ์ลำตัวยาวเข้าฉกพวกเขา โชคดีที่หนีมาทัน แต่เมื่อกลับมาถึงเรือน บิดามารดาถูกฉกกลับโดนพิษสิ้นใจลง บุตรชายของผู้ตายจึงรีบมาแจ้งเรื่องนี้กับ อินจาง ผู้รับเรื่องร้องทุกข์แก่ชาวอาณาจักร อินจางพาเหล่าผู้รับผิดชอบไปตรวจตราก็พบเข้ากับงูจริงๆ หลายผู้ถูกฉกและถึงขั้นโดนดูดวิญญาณ อินจางจึงรีบมาแจ้งแก่เฉียนหลงเป่า ทำให้เขาต้องเข้ามาหารัชทายาทโดยด่วน ช่วงนี้ เกิดเรื่องแปลกๆมากมายกับอาณาจักร มิรู้ว่าเกิดจากเหตุใด ปกติปีศาจงูจะไม่เข้ามาในอาณาเขตของพวกตนแต่ยามนี้เข้ามาและยังฆ่าพวกตนอีก

‘ประหลาดจริงๆ’

“องค์ชายเฉียน”

ร่างสูงใหญ่ของเฉียนหลงเป่าที่ก้าวฉับๆอย่างเร่งรีบมิได้มองผู้ใดจนเมื่อมีผู้เอ่ยทักถึงได้ชะงักหยุดลงพลางก้มลงมองผู้เอ่ยทักที่ความสูงน้อยกว่าเขา

บุรุษรูปร่างสูง ต้องบอกว่าสูงเนื่องว่าเฉียนหลงเป่าสูงเกินชาวบ้านชาวเมืองไปมาก ไม่อาจดูแคลนได้ว่าบุรุษที่สูงเพียงไหล่ของเขานั้นไม่สูง

ชายหนุ่มที่เอ่ยทักสวมเครื่องแบบสีเงิน เครื่องแบบเช่นนี้ เดินไปมาในสระมรกต ทั้งสง่างามเรียบร้อยจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เหล่าขุนนางหรือศิษย์ของรัชทายาท หนึ่งเรื่องที่ผู้ใดไม่ค่อยทราบกัน แม้รัชทายาทจะทำตัวเสเพลลอยไปลอยมาในสายตาผู้อื่น แต่แท้จริง เฉียนเย่เจาจัดรับสมัครกลุ่มคนที่ทรงภูมิไม่ว่าจะเป็น สายเดือนสามัญ หรือขุนนาง เข้ามาขัดเกลาให้เก่งกาจ สั่งสอนด้วยตนเอง สถานที่นี้จึงเสมือนเป็นสำนักศึกษาก็ไม่ปาน คนเหล่านี้ก็คือกลุ่มเหล่านั้น พวกเขาทั้งเคารพและซื่อสัตย์ต่อรัชทายาท กิริยาท่วงท่ามิได้ต่างจากเฉียนเย่เจาแม้แต่น้อย ราวกับมีเฉียนเย่เจาหลายพันคนอยู่ที่แห่งนี้

เฉียนหลงเป่าโน้มกายทักทายกลับ ศิษย์ในสำนักสระมรกตจึงเดินจากไป เฉียนหลงเป่าจึงก้าวเดินต่อ ยามนี้ รัชทายาทคงอยู่ที่หอคัมภีร์

*******

หอคัมภีร์ สถานที่ที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยตำราให้ความรู้มากมาย หนึ่งสตรี หนึ่งบุรุษ นั่งคนละมุม ต่างจดจ้องกับตำราตรงหน้า หลายชั่วยามแล้วที่พวกเขาใช้เวลาอยู่ในหอคัมภีร์ร่วมกัน

ลั่วเริ่นอิงเข้ามาหาตำราเกี่ยวกับตำนานการแก้คำสาป นางอยากช่วยอะไรบ้าง ดีกว่านอนเล่นนั่งเล่นหายใจทิ้งไปวันๆ

แว่วเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นหน้าประตู ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง

เฉียนเย่เจาเมื่อเห็นว่าผู้ใดมาก็ขมวดคิ้วประหลาดใจ

ลั่วเริ่นอิงลุกขึ้นยืนประสานมือโน้มกายลงทักทายผู้มาใหม่

เฉียนหลงเป่าเมื่อเห็นว่า พระชายาอยู่ในห้องกับรัชทายาทก็ตกใจ ตนนึกว่า รัชทายาทจะเก็บนางไว้ไม่ให้ผู้ใดรู้เรื่อง แต่ถึงขั้นให้มาหอตำราที่ผู้คนเข้าออกทั้งวันเช่นนี้

“เฉียนหลงเป่า คำนับพระชายา” ทันทีที่เฉียนหลงเป่ากล่าวจบ ทั้งลั่วเริ่นอิงและเฉียนเย่เจาก็ตกใจ องค์ชายหมาป่าเรียกขุนพลของตนน้ำเสียงเยียบเย็น

“เฉียนหลงเป่า”

เฉียนหลงเป่างุนงง ไม่เข้าใจว่าตนกล่าวอันใดผิด รัชทายาทผูกจิตกับนางไม่ช้าเร็วก็ต้องแต่งตั้งนางเป็นชายา แล้วเขาเรียกชายาผิดตรงที่ใด

“ตามข้าออกมา”

กล่าวพลางลุกขึ้นเดินนำออกจากหอคัมภีร์ ลั่วเริ่นอิงมองตามองค์ชายหมาป่าทั้งสองอย่างงุนงง

‘เมื่อครู่เขาเรียกนางว่า พระชายา ตนมิได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?’

เฉียนเย่เจาเดินนำไปที่ระเบียง ด้านข้างมองเห็นทะเลสาบ วรองค์สูงหยุดลงหันกายมาหาเฉียนหลงเป่า เอ่ยขึ้นเสียงเย็น

“ทีหลังอย่าได้เรียกนางเช่นนี้อีก”

“เหตุใด?”

หากเป็นผู้อื่นคงมิกล้าถาม แต่เพราะเป็นเฉียนหลงเป่าผู้ทึ่มทื่อทั้งยังเป็นสหายวัยเด็กขององค์รัชทายาท

“เป็นไปมิได้”

“เหตุใดถึงจะเป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านผูกจิตกับนางแล้ว ท่านย่อมทราบว่าหากหมาป่าผูกจิตกับผู้ใด ผู้นั้นย่อมต้องเป็นคู่เคียงกายตลอดกาล”

เฉียนเย่เจาถอนหายใจ พลางกล่าวเปลี่ยนเรื่อง

“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”

เฉียนหลงเป่าเมื่อถูกถามก็นึกขึ้นมาได้ จึงรีบรายงาน

‘เรื่องภายใน ย่อมให้เจ้าของเรื่องตัดสินเองจะดีกว่า ตัวเขามิเคยมีรักย่อมมิเข้าใจ’

“หลายวันก่อนเกิดปีศาจงูไล่ฆ่าเอาชีวิตชาวเมืองที่แดนประจิม อินจางมารายงานข้าเมื่อยามวาน รัชทายาทจะไปดูด้วยตนเองหรือไม่ พ่ะย่ะค่ะ?”

เฉียนเย่เจานิ่งไป ด้วยกำลังขบคิด หากเรื่องไม่ใหญ่ อินจางคงไม่มารายงาน

“มีผู้เสียชีวิตแล้วกี่คน?”

“สี่คนพ่ะย่ะค่ะ รวมชาวบ้านและทหารของอินจาง”

เฉียนเย่เจาพยักหน้า เอ่ยสั่งการ “เช่นนั้นก็ไปแจ้ง เฉียนหยาง เฉียนไฮ่เจิน ข้าจะนำทหารไปสามสิบ เดินทางยามพรุ่ง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฉียนหลงเป่าประสานมือคำนับเสร็จก็จากไป องค์ชายหมาป่าขมวดคิ้วแน่นพลางเดินกลับไปยังหอคัมภีร์ ภายในห้องไร้เงาของลั่วอิง นางคงจะกลับไปแล้ว คิดแล้วก็โล่งใจ เฉียนเย่เจาหลับตาลงส่งกระแสจิตเรียกเจียอิง

‘เจียอิงมาพบข้า’

เฉียนเย่เจาลืมตาขึ้น เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเดิมของตน ครู่ใหญ่เจียอิงก็เดินเข้ามาในห้อง สตรีร่างบางในชุดสีแดงเลือดนกประสานมือคำนับรัชทายาท

“นั่งลง” เฉียนเย่เจาบอกสั้นๆ เจียอิงรับคำเสร็จก็เดินมานั่งลงตรงข้ามรัชทายาท

“ข้าจะไปทิศประจิมสักสามวัน เจ้าดูแลสระมรกตให้ดี อย่าให้ผู้ใดเข้ามา”

“เพคะ รัชทายาท เกิดเหตุใดที่ทิศประจิมหรือเพคะ?”

เจียอิงถามออกไปเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดแน่นเคร่งเครียดของรัชทายาท

เฉียนเย่เจาคลายปมที่คิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยตอบ “ทิศประจิมมีปีศาจงูหลงเข้ามาในเขตแดนของเรา ฆ่าพวกเราไปสี่แล้ว”

“ตายจริง!” เจียอิงอุทานยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ

“เช่นนั้น หม่อมฉันจะไปตระเตรียมยูกยาให้เพคะ”

เฉียนเย่เจาพยักหน้าอนุญาต เจียอิงจึงลุกขึ้น หันกายเดินออกจากห้อง แต่เดินไม่กี่ก้าว คล้ายนึกขึ้นได้ หันกลับมาเอ่ยถาม

“พระองค์จะไม่นำแม่นางลั่วไปด้วยหรือเพคะ?”

นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมองคนถาม กล่าวเสียงดุ “ใยต้องให้นางไป?”

“ในตำราที่เราค้นคว้าได้ล่าสุด กล่าวว่า ‘สตรีผู้ถอนคำสาป น้ำตาของนาง รักษาบาลแผลและพิษทุกชนิด’”

เฉียนเย่เจาคล้ายนึกถึงเรื่องนี้ได้ หากเป็นดังที่ตำราว่าไว้จริง ก็น่าจะนำสิ่งนี้ไปเป็นข้อพิสูจน์

เฉียนเย่เจานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “บอกนางให้ไปเตรียมตัว”

“เพคะ รัชทายาท”

เจียอิงรับคำแล้วก็เดินออกไป

นัยน์ตาคมเฉี่ยวขององค์ชายหมาป่าหรี่ลงอย่างใช้ความคิด มิมีผู้ใดทราบว่า พระองค์คิดสิ่งใด

*******

ยามรุ่งฟ้ายังไม่สาง เจียอิงไปแจ้งแก่นางตั้งแต่เมื่อยามวานว่า รัชทายาทให้ตนติดตามไปทิศประจิมด้วย เห็นว่าไปตรวจตราความเรียบร้อยของชาวเมือง แม้จะสงสัยว่าเหตุใดต้องนำนางไปด้วย แต่ก็ไม่อยากซักไซ้ให้มากความ นางเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย เจ้าบ้านให้ไปที่ใดทำสิ่งใดก็ควรทำ ด้วยความที่ตนเคยออกตรวจตราเมืองกับโย่วหวางบ่อยครั้ง ลั่วเริ่นอิงจึงไม่ตื่นตระหนกและทราบว่าควรแต่งกายเช่นไร

สตรีในชุดผ้าไหมสีดำทั้งกาย เรือนผมยาวถึงสะโพกถักเปียเดียวม้วนเก็บเรียบร้อย เผยใบหน้างามสะดุดตา ทั้งตา จมูก ปาก งดงามรับกันไปหมด ทวงท่ากิริยาสง่างามเคลื่อนกายเข้ามาในโถงใหญ่ของตำหนักแห่งนี้ ในโถงมีบุรุษมากมาย ส่วนมากแต่งกายสีเงินถือกระบี่ ยืนเรียงแถวหลายสิบคน ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏบุรุษรูปงามยืนอยู่ แต่ละคนแต่งกายแตกต่างแต่ความงามและกลิ่นอายความสูงศักดิ์นั้นไม่ต่างกัน

ลั่วเริ่นอิงมาหยุดลงเบื้องหน้า ประสานมือคำนับองค์ชายทั้งสี่ สามองค์ชายคำนับตอบ เฉียนเย่เจาเพียงปรายตามองนางเล็กน้อย มิได้กล่าวสิ่งใด

เหล่าทหารของรัชทายาทต่างตกใจและงุนงง เกิดคำถามว่า สตรีงดงามราวกับเทพธิดาผู้นี้คือผู้ใด เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงเหล่าทหารที่ประหลาดใจ ขุนพลทั้งสามก็ประหลาดใจมิต่างกัน

‘เฉียนเย่เจาจะนำภรรยาไปด้วยรึ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ห่างกันมิได้’

เมื่อคนมาครบแล้ว เฉียนเย่เจาก็กล่าวสั่งการต่อทหารและขุนพลว่า

“เริ่มเดินทางได้”

ทหารในเครื่องแบบสีเงินทั้งสามสิบตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทหารเครื่องแบบสีเงินหันหลังเดินออกจากโถงไป องค์หญิงมนุษย์สังเกตเห็นว่าพวกเขาชักกระบี่ออกมาขี่ลอยตัวกันออกไป องค์หญิงแห่งดินแดนมนุษย์เบิกตากว้างอย่างตื่นตาตื่นใจ

ขุนพลทั้งสามชักกระบี่ของตนออกมาขี่เช่นเหล่าทหาร ในบริเวณโถงใหญ่จึงเหลือเพียงเฉียนเย่เจากับลั่วเริ่นอิง

องค์หญิงคนงามหันมาเอ่ยถามเฉียนเย่เจา “เราจะขี่กระบี่เช่นพวกเขาหรือไม่เพคะ?”

ลั่วเริ่นเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงกลับแฝงแววตื่นเต้นปิดไม่มิด

เฉียนเย่เจาเหลือบมองสตรีมนุษย์เพียงเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยบอกอันใด หมอกสีเงินลอยขึ้นมาคลุมร่างของเฉียนเย่เจา เมื่อหมอกจางไป หมาป่าขนสีเงินตัวใหญ่กว่าคนก็ปรากฏแทนที่องค์ชายหมาป่า

ลั่วเริ่นอิงตกใจผละหงายหลัง องค์หญิงคนงามเสียกิริยาเป็นครั้งแรก แต่ให้ทำอย่างไร หากผู้ใดมาเป็นนางก็ต้องตกใจเหมือนนางด้วยกันทั้งสิ้น

เฉียนเย่เจามิได้ใส่ใจสีหน้าตกตะลึงของสตรีมนุษย์ องค์ชายหมาป่าที่แปรสภาพเป็นหมาป่าจริงๆยามนี้ขยับปากบอกลั่วอิง

“ขึ้นมาบนหลังข้า”

แม้เขาจะบอกให้นางขึ้นไปบนหลัง แต่คนที่ไม่เคยขี่หมาป่าก็เก้ๆกังๆ หาวิธีขึ้นมิได้ เฉียนเย่เจารู้สึกรำคาญ จึงร่ายมนต์ให้ร่างนางลอยมาขึ้นหลังตนเสียเอง

เมื่อลั่วเริ่นอิงอยู่บนหลังของหมาป่าขนสีเงินแล้ว องค์ชายหมาป่าก็สั่งนางอีกรอบ

“กอดคอไว้ให้แน่น”

ลั่วเริ่นอิงค่อยๆเอื้อมแขนทั้งสองข้างกอดรอบคอองค์ชายหมาป่า โน้มกายลงแนบกับลำตัว ขนหมาป่าที่ทีแรกคิดว่าจะแข็งและมีกลิ่นสาบกลับนุ่มราวกับพรมชั้นดี มีกลิ่นเย็นๆลอยมาแตะจมูกให้รู้สึกสบายตัว เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เฉียนเย่เจาในคราบของหมาป่าก็ทะยานออกไปจากห้องโถง เมื่อออกมานอกเรือนแล้ว สิ่งที่เห็นคือทะเลสาบขนาดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ร่างของหมาป่าเฉียนเย่เจาลอยอยู่บนอากาศ นัยน์ตาขององค์หญิงคนงามเบิกกว้าง ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่พบเห็น เมื่อหันไปมองยังเรือน พึ่งเห็นว่าตัวตำหนักใหญ่มากเพียงใด ภูเขาด้านหลังเป็นทิวทัศน์ที่งดงามเกินบรรยาย ที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือ ตัวตำหนักลอยอยู่เหนือผิวน้ำ

‘นี่นางอยู่ในเรือนที่ลอยอยู่บนอากาศมาตลอดหรือนี่ ยอดเยี่ยม’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel