บท
ตั้งค่า

เรื่องเล่าขานที่ ๔ ใครว่ามนุษย์หมาป่ามีอยู่แต่ในนิทาน

เรื่องเล่าขานที่ ๔

ใครว่ามนุษย์หมาป่ามีอยู่แต่ในนิทาน

สระมรกต

ประตูห้องนอนถูกเปิดออกอย่างแรง เฉียนเย่เจาอุ้มร่างลั่วเริ่นอิงเข้ามา จัดการวางร่างที่สลบไสลลงบนเตียงเดิม ใบหน้าและลำตัวเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดง กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วห้อง

“เกิดอันใดขึ้นเพคะ?”

เจียอิงเดินเข้ามาในห้องร้องถามน้ำเสียงร้อนรน ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นแม่นางน้อยลั่วเลือดท่วมกาย

“นางบาดเจ็บหรือเพคะ เหตุใด?”

“นางพบพวกตาแดงระหว่างทางออกจากอาณาจักร” เฉียนเย่เจาอธิบายสั้นๆ

“ตายจริง แล้วนางถูกกัดหรือไม่เพคะ?”

“ไม่ ข้าช่วยไว้ทัน”

เจียอิงมององค์รัชทายาทอย่างไม่เชื่อหู

เฉียนเย่เจามองกลับเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ

“มองข้าทำไม?”

เจียอิงส่ายหน้าน้อยๆ ลอบอมยิ้มเสเดินไปหาแม่นางลั่วบนเตียง

“ข้าจะล้างตัวให้นาง ฝ่าบาทออกไปรอข้างนอกเถิดเพคะ”

เฉียนเย่เจาพยักหน้า หันกายเดินออกจากห้อง เจียอิงนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญจึงรีบเอ่ยขึ้น

“ฉลองพระองค์ข้าเตรียมไว้ให้แล้วนะเพคะ ฝ่าบาทอย่าทรงลืมไปลานประลองนะเพคะ”

เฉียนเย่เจาไม่คิดจะตอบหรือหันมาพยักหน้ากับนาง เจียอิงถอนหายใจในความดื้อรั้นขององค์ชายน้อยนัก ชันษาก็ 100 ปี แล้ว ยังแสนจะเอาแต่ใจ

‘แต่เพราะเช่นนี้ตนถึงได้เอ็นดู ทิ้งฝ่าบาทมิลงมิใช่รึ’

คิดแล้วก็หัวเราะกับตนเอง หันกลับมาจัดการร่างบนเตียง

นางรู้สึกอารมณ์ดีนัก ควรเลือกชุดงามๆให้ แม่นางลั่วสวมใหม่

*******

ลานประลองอู๋หรั่น

วันใดที่พระจันทร์เต็มดวง อาณาจักรเฉียนหลัง จะจัดงานประลองขึ้นมา เหมือนเป็นวัฒธรรมอันสำคัญยิ่งของชาวหมาป่า

หมาป่าทุกตระกูลทุกสายเลือดทุกเขตเมืองต้องเข้าร่วมการประลอง โดยจะจัดการประลองแบบกลุ่มมาต่อสู้กัน หากกลุ่มใดชนะก็เอารางวัลไป รางวัลจะไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง ผ่านมาหลายร้อย หลายพันปี ผู้ที่ตื่นตาตื่นใจก็เห็นแต่จะมีเพียงกลุ่มหมาป่าตระกูลสามัญ

เหล่าตระกูลสายเลือดสีเงิน ประกอบไปด้วย ตระกูลเฉียน ตระกูลฉีเฟ่ย ต่างมองว่า เป็นการละเล่นที่น่าเบื่อเสียกระไร แต่ด้วยขนบประเพณีที่ผ่านมาหลายร้อยหลายพันปี ทำให้พวกเขาต้องเข้าร่วม และส่วนมากจะมานั่งชมการประลองเสียมากกว่า โดยตั้งกฎว่า หากหมาป่าตระกูลขนน้ำตาลกลุ่มใดประลองชนะทุกกลุ่มจักได้มาประลองกับตระกูลสีเงิน และหากชนะการประลอง จะขอสิ่งใดก็ได้เป็นการตอบแทน ซึ่ง ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ลานประลองขนาดใหญ่เนืองแน่นไปด้วยมนุษย์หมาป่าที่มาเข้าร่วม พระจันทร์ลอยขึ้นเหนือศรีษะแล้ว แต่การประลองยังมิได้เริ่ม เหตุเพราะองค์รัชทายาทแห่งดินแดนหมาป่ายังไม่ปรากฏกาย

เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วลาน บ้างบ่น บ้างก่นด่าสาปแช่งรัชทายาทผู้ไม่เอาไหน

“ดูเอาเถอะ โอหัง ไร้มารยาทสิ้นดี”

“นั่นสิ ภายภาคหน้าหากเราได้คนเยี่ยงนี้มาปกครอง ชีวิตคงลำบากมากโข”

เสียงบ่นดังไปเรื่อยๆ จนมีมนุษย์หมาป่าผู้หนึ่งชี้ไปบนฟ้า ตะโกนออกมาเสียงดัง

“นั่น! ใช่ รัชทายาท หรือไม่?”

บนท้องฟ้าสีดำ พระจันทร์ลอยเด่นดวงใหญ่ ร่างของหมาป่าขนสีเงินลอยอยู่บนนั้น

หมาป่าขนสีเงินทั้งตัวเงางาม ดวงตาเรียวรีสีทอง มนุษย์หมาป่าหลายผู้ต่างไม่ละสายตาจากหมาป่าตัวนั้น

ช่างสง่างาม สูงส่ง ดุจจิ้งจอกเทพ นี่หรือ สายเลือดสีเงินอันสูงส่ง หากบอกว่า หมาป่าตนนี้เป็นจิ้งจอกเทพพวกเขาก็ย่อมเชื่อ

ว่ากันว่ามนุษย์หมาป่าที่บำเพ็ญตนจะกลายเป็นเทพเซียนได้ และสิ่งนี้เองคือจุดสูงสุดที่ครึ่งมนุษย์ ครึ่งปีศาจ เช่นพวกเขาอยากไปให้ถึง

ร่างของหมาป่าสีเงินลอยลงมาที่ลานประลอง ตามด้วยหมาป่าสีเงินอีกสามตัว หมอกสีเงินลอยครอบร่างของทั้งสี่ แทนที่ด้วยบุรุษรูปงามจับตา

บุรุษตรงกลางคือ เฉียนเย่เจา รัชทายาท แห่ง เฉียนหลัง ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีเงินหรูหรา กลิ่นอายสูงศักดิ์ลอยอวลอยู่ทั่วเรือนกาย พาให้หลายผู้รู้สึกยำเกรงต่อเขา

ถัดไปฝั่งขวาของเฉียนเย่เจา บุรุษรูปงามในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ผมดกดำเกล้ารวบขึ้นทั้งหมดสวมกวานสีเงินปักปิ่น เครื่องประดับมากมายบนตัวส่งให้เขาเหนือกว่าผู้ใด นาม เฉียน หยาง สายเลือดบริสุทธ์สีเงิน หนึ่งในขุนพลของเฉียนเย่เจา

ด้านซ้าย บุรุษรูปงามอาภรณ์สีทองหรูหรา เขาดูเหมือนเซียนที่บรรลุแล้ว กลิ่นอายนิ่งสงบ มักมีลอยยิ้มอ่อนๆประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ นาม เฉียนไฮ่เจิน เขาคือขุนพลด้านบุ๋นของเฉียนเย่เจา

ขุนพลสุดท้ายที่ดูแตกต่างเป็นที่สุด บุรุษรูปงามในอาภรณ์สีเทา ไร้เครื่องประดับ ชุดก็แนบเนื้อ กลิ่นอายของนักรบแผ่ออกมาจากกายเขา บุรุษผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่กำยำอย่างกับยักษ์ ด้านพละกำลังไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้ นาม เฉียนหลงเป่า ขุนพลด้านกำลังของเฉียนเย่เจา

“ขออภัยที่ทำให้ ท่านทั้งหลายต้องรอนาน”

เฉียนไฮ่เจินก้าวมาด้านหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้ทุกคนจิตใจสงบลง เฉียนไฮ่เจินประสานมือโค้งกายลง ก่อนจะเงยขึ้น กล่าวเสียงสุภาพ

“พวกข้านั้น เพียงเขี้ยวยาเสริมพละกำลังมาให้ผู้เข้าร่วมประลอง ยาเสร็จช้า จึงได้มาช้า ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดให้อภัย”

‘นั่นปะไร สมที่ว่าเป็นสมองของ เฉียนเย่เจา เพราะไม่ว่า เฉียนเย่เจาจะไปขี้ไว้ที่ใด เฉียนไฮ่เจินก็ตามเช็ดตามล้างให้สะอาดหมดสิ้น’

กล่าวจบ เฉียนไฮ่เจินก็หันไปพยักหน้ากับผู้รับใช้ให้นำยาเสริมพละกำลังให้ผู้เข้าร่วมประลอง เสร็จแล้ว ทั้งสี่จึงเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์อันเป็นที่ประทับชมการประลอง บนนั้นมีบุรุษรูปงามอีกกลุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว

เฉียนเย่เจาไม่ได้เหลือบตามองพวกเขาแม้แต่น้อย เฉียนไฮ่เจินโค้งกายทักทายให้คนทั้งสี่ ก่อนจะเดินตามหลัง เฉียนเย่เจาไปนั่งยังที่ประทับด้านบนสุดของอัฒจันทร์

“พี่ชายเจ้า ไม่เห็นหัวเจ้าเช่นเดิมนะ องค์ชาย”

บุรุษรูปงามที่ใบหน้าออกไปทางหวานเยี่ยงสตรี เอ่ยขึ้นยามสายตาเหลือบไปมองด้านบนสุดของอัฒจันทร์

องค์ชายเฉียนจงหวินหันไปมองเจ้าของคำพูด ส่ายหน้าน้อยๆ

“ช่างเขาเถิด”

อินซ่งหนาน คุณชายตระกูลขุนนาง สายเลือดสีขาวแท้ หันไปมองเฉียนจงหวินเหยียดยิ้ม

‘เฉียนจงหวินนั้นแสนดี ต่างจาก เฉียนอีกคนที่ แสนเลว’

เมื่อไม่มีผู้ใดพูดต่อ อินซ่งหนานก็เงียบไป

เฉียนจงหวิน องค์ชายลำดับสาม แห่ง เฉียนหลัง บุรุษรูปงามมีใบหน้าเคล้าโครงคล้ายเฉียนเย่เจาอยู่มาก เขาสวมอาภรณ์สีเงินแซมน้ำเงินเข้ม ผมดกดำเกล้ารวบครึ่งศรีษะเปิดใบหน้าหล่อเหล่าอ่อนโยน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเรียวรีมีเสน่ห์รับกับขนตายาวดกหนาเยี่ยงสตรี เครื่องประดับหรูหราไม่ต่างจากเฉียนเย่เจา เขาคือน้องชายต่างมารดาของ เฉียนเย่เจา เป็นเลือดผสมระหว่าง อินและเฉียน

พี่ชายต่างมารดาเกลียดตนเข้ากระดูกดำ แต่เขาก็ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ ด้วยเข้าใจเฉียนเย่เจา หากเป็นตนเองที่ถูกเสด็จพ่อกระทำเช่นนี้ ก็คงไม่อาจฉีกยิ้มไมตรีกับลูกต่างแม่ได้เช่นกัน

งานประลองกำลังจะเริ่มขึ้น แต่แล้ว ก็มีฝูงหมาป่าหลายร้อยตัวลอยจากด้านบนลงมายังลานประลอง มนุษย์หมาป่าต่างตกใจ เมื่อเห็นว่าหมาป่าเผ่าใดมา

หมาป่าขนสีดำ ตาสีแดงเลือดสดน่ากลัวน่าขยะแขยง ไร้ความสวยงาม กลิ่นไอปีศาจอบอวล บวกกับกลิ่นเหม็นคาวของพวกมัน เหล่ามนุษย์หมาป่าต่างทำหน้าเหยเก แสดงความรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

ชายชราผู้รับผิดชอบในการจัดงานประลองรีบวิ่งออกมา ยามหมาป่าขนดำ ตระกูลหยินคืนร่างเป็นมนุษย์หมาป่า

“ท่านประมุขหยิน”

ชายชราโค้งกายคำนับทักทายชายที่อยู่ด้านหน้าสุด

ประมุขหยิน คือชายฉกรรจ์ในชุดสีดำขนสัตว์ ผมหยิกถูกรวบขึ้นลวกๆใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูเหี้ยมโหดดูร้ายกาจเป็นที่สุด ดวงตาคมสีแดงมิได้มองชายชรา แต่เขามองตรงไปยังด้านบนของอัฒจันทร์

“เฉียนเย่เจา!”

ประมุขหยินซาง ตะโกนเรียกนามของรัชทายาทเสียงดัง ผู้ที่อยู่ในลานประลองพากันหันไปมองยังเฉียนเย่เจาเป็นตาเดียว

เฉียนเย่เจามิได้ตอบรับคำเรียก เขาเพียงปรายตามองเล็กน้อยก็หันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ

หยินซางเห็นกิริยาเช่นนั้นก็โกรธจัด เฉียนเย่เจา โอหัง ไร้มารยาท นิสัยเลวทรามเช่นที่เคยได้ยิน

หากไม่สนใจก็ย่อมได้ เขาจะพูดมันตรงนี้ให้ทุกผู้ได้ทราบว่า รัชทายาทผู้สูงส่งนั้นมีนิสัยน่าเกลียดมากเพียงใด

“เฉียนเย่เจา เมื่อหลายชั่วยามก่อน เจ้าไปยังป่าอาคม เจ้าฆ่าลูกเผ่าของข้าไปหลายตัว ทั้งยังแย่งอาหารของลูกเผ่าข้า เหตุใดเจ้าไร้ยางอายเช่นนี้ หรือหมายว่าตนนั้นอยู่เหนือผู้อื่น ถึงได้กดขี่ข่มเหงผู้ใดก็ได้”

จบคำของหยินซาง ทุกผู้ล้วนหันไปมองเฉียนเย่เจาอย่างตกตะลึง เกิดเสียงซุบซิบดังไปทั่ว ต่างจากเจ้าของเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่ทำเพียงเปลี่ยนหน้ากระดาษในมือ

เฉียนไฮ่เจินเห็นท่าไม่ดีจึงร้องเตือนเบาๆ

“รัชทายาท”

เฉียนเย่เจาทำหน้าเบื่อหน่าย ตัดสินใจปิดหนังสือลุกขึ้นยืน เดินออกมาเล็กน้อย เอ่ยถาม

“มาร้องทุกข์รึ หากมาร้องทุกข์ก็ไปกรมร้องทุกข์ ข้ามิได้มีหน้าที่นั้น”

“เฉียนเย่เจา!”

หยินซางตะโกนลั่นใบหน้าแดงจัดเพราะความโกรธที่ปะทุ

เฉียนจงหวินลุกจากที่นั่ง ช่วยไกล่เกลี่ย

“ท่านประมุขโปรดสงบใจลงก่อน บางทีนี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน โปรดเจรจากันอย่างสันติย่อมดีกว่า”

หยินซางหันไปหา องค์ชายสาม เฉียนจงหวิน ทุกผู้พยักหน้าเห็นด้วย หยินซางจึงยอมลงให้

“เช่นนั้นรบกวนองค์ชายสาม”

เฉียนจงหวินพยักหน้า เดินขึ้นบนอัฒจันทร์ไปหาเฉียนเย่เจา

“รัชทายาท เรื่องเป็นมาเช่นใดโปรดแจ้งให้ทุกผู้ทราบเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เฉียนเย่เจามองตอบเฉียนจงหวินอย่างเย็นชาเอ่ยคำที่คนฟังหน้าเสีย

“เจ้าอย่ายุ่ง”

หลายผู้เมื่อได้ฟังก็ไม่พอใจ อยากก่นด่าแต่ก็ทำมิได้ ลูกน้องในเผ่าหยินผู้หนึ่งเคียดแค้นต่อการตายของพี่น้องจึงตะโกนด่าขึ้นมา

"ผู้หนึ่งเลือดบริสุทธิ์แต่หยาบช้า ไร้มารยาท ต่างจากอีกผู้ที่ แม้นเป็นเลือดผสมกลับดีกว่า ต่างกันราวฟ้ากับเหว คงผิดที่คนสอน"

สิ้นคำด่านั้นยังไม่ทันให้ผู้ใดได้สะใจกับคำด่าเมื่อครู่ คอของเจ้าของคำพูดก็ขาดกระเด็นเลือดสีแดงพุ่งกระฉูดอาบร่างกายที่ยังดิ้นอยู่

เหล่ามนุษย์หมาป่าต่างตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่มิคิดว่า เฉียนเย่เจาจะกล้าทำถึงเพียงนี้

หมาป่าตระกูลหยินกลายร่างเป็นหมาป่า แยกเขี้ยวขู่เฉียนเย่เจาพร้อมขุนพลทั้งสามที่ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมสู้

ประมุขหยินกล่าวเสียงกร้าว ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธที่คลั่งอยู่ภายใน

"เฉียนเย่เจา! เจ้าทำเกินไปหรือไม่?"

เฉียนเย่เจาเหยียดยิ้ม มองตอบประมุขหยินสายตาเย็นชาน่ากลัว

"เกินไปหรือ มัน! กล้าล่วงเกินข้าถึงเพียงนี้ ก็สมควรแล้วนี่"

"นี่เจ้า!"

"ทำไม จะสู้หรือ เอาสิ"

เฉียนเย่เจาท้าทาย ประมุขหยินลังเล ด้วยรู้กิตติศัพท์ของรัชทายาทผู้นี้ว่า เก่งกาจ โอหัง เหี้ยมโหดเพียงใด เขาเพียงคนเดียวก็ฆ่าพวกตนได้เป็นครึ่ง นี่ มีขุนพลหมาป่าทั้งสามอยู่ด้วย เผ่าของเขาคงโดนกวาดไม่เหลือซาก

"ท่านประมุข ประลองเลยขอรับ ของเดิมพันคือหัวของเจ้าชั่วช้าเฉียนเย่เจา"

เหล่าหมาป่าในตระกูลผสมโรง

เฉียนเย่เจาได้ฟังดังนั้นก็เหยียดยิ้มเย็น

"พร้อมตายกันยกเผ่าแล้วสิ"

"โอหัง! คิดว่าทุกคนเขากลัวเจ้าหรือไร!"

"เจ้าเงียบ!" ประมุขหยินหันไปตวาดหมาป่าในตระกูลผู้นั้น

เฉียนเย่เจาเบิกตากว้างอย่างเสแสร้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่นลานประลอง

"เจ้าดู เจ้าดู เจ้าไม่กลัวข้ารึ ถามประมุขเจ้าก่อนหรือไม่ ฮ่าๆ"

เหล่าหมาป่าสายเลือดสูงรวมไปถึงสายเลือดธรรมดา ต่างกลั้นหัวเราะ

ประมุขหยินหน้าแดงจัด อับอายเหลือล้น เขาสะบัดกายกลับ เหล่าหมาป่าในตระกูลเห็นประมุขไปแล้วก็รีบตามไป

เฉียนเย่เจาหยุดหัวเราะ ใบหน้าเรียบนิ่งดวงตาเย็นชากวาดมองโดยรอบ ตวาดขึ้นให้ได้ยินกันทั่ว

"ไร้สาระ!"

ประโยคสั้นๆแต่กลับทำให้ตกใจกันไปหลายผู้

เฉียนเย่เจาสะบัดชายผ้าหันหลัง หมายออกจากลานประลอง แต่ชายชราผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ทำการประลองในครั้งนี้รั้งไว้ก่อน

"องค์รัชทายาท"

"ข้าไม่มีอารมณ์ ใครอยากประลองก็ประลองไป วัฒนธรรมนี้ ไร้สาระสิ้นดี"

จบคำก็หายตัวไปจากตรงนั้น พร้อมขุนพลทั้งสามของพระองค์

ชายชราหน้าเสีย เหล่าหมาป่าเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยพากันออกจากลานประลอง เหลือเพียง กลุ่มขององค์ชายสาม

มิใช่ว่าพวกเขามิอยากไป แต่เพราะมารยาทที่ถูกอบรมมาอย่างดีทำให้มิอาจกระทำการไร้มารยาทเช่นนั้น

"ท่านอาวุโส นี่ก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว หากยกเลิกสิ่งเดิมๆบ้างก็ไม่เสียหาย"

เฉียนจงหวินกล่าวน้ำเสียงโน้มน้าว องค์ชายสามเฉียนจง หวินเผยยิ้มให้พร้อมโค้งกายอำลา ก่อนร่างทั้งสี่จะหายไปจากตรงนั้น

ลานประลองว่างเปล่า เหลือเพียงแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel