เรื่องเล่าขานที่ ๓ สิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริง
เรื่องเล่าขานที่ ๓
สิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริง
องค์หญิงลั่วเริ่นอิง วางถ้วยน้ำแกงลงหลังทานเสร็จ พลันสายตาหันไปเห็นรอยยิ้มของเจียอิงจึงเอ่ยถามคลายความสงสัย
“อันใดหรือ?”
“รสชาติดีใช่หรือไม่?”
“ดีจ๊ะ”
สิ้นคำตอบของนาง เจียอิงก็โถมกายเข้ามากอดจนทั้งสองร่างล้มลงไปบนพรมหนา แม้ไม่เจ็บ แต่คนถูกกอดก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง
“ขอโทษๆ ข้าขอโทษ” เจียอิงกล่าวขอโทษน้ำเสียงกลั้นขำ
ลั่วเริ่นอิงชันกายลุกขึ้นนั่งดังเดิมเอ่ยถาม
“แม่นางกอดข้าด้วยเหตุใด?”
“ข้าดีใจน่ะ ที่รสชาติของอาณาจักรเรา ถูกใจคนภายนอกเช่นเจ้า”
ลั่วเริ่นอิงได้ฟังคำตอบแล้วก็ยิ้มบางบอกเสียงอ่อน
“รสชาติดีมากจ๊ะ”
เจียอิงรู้สึกถูกชะตาแม่นางมนุษย์ผู้นี้มากขึ้นกว่าเดิม
“จริงสิ ที่นี่ ที่ใดหรือ?”
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้
เจียอิงนิ่งไปเล็กน้อย ด้วยกำลังนึกหาคำตอบที่เหมาะสม เห็นแม่นางชาวมนุษย์มองมาก็เผลอกำมือแน่น
“ที่ ที่นี่ คือ สระมรกต”
“สระมรกต?”
“ใช่ เป็นที่พำนักของ เฉียนเย่เจา”
“เฉียนเย่เจา” นางทวนชื่อจากปากของเจียอิง
‘เฉียนเย่เจา หรือจะเป็นชายหนุ่มที่พบเมื่อครู่หรือ’
“ใช่ เขาเป็นคนพาเจ้ามา จริงสิ ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอ ทานยาแล้วนอนพักต่อเถิด”
เจียอิงรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อสบโอกาส ด้วยไม่อยากตอบสิ่งใดมากกว่านี้
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงเห็นด้วยว่าไม่ควรซักไซ้ให้เสียมารยาท จึงพยักหน้าตกลง หยิบถ้วยยาขึ้นมาดื่ม เมื่อดื่มหมดจึงเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณแม่นางเจีย”
“ไม่เป็นอันใด เจ้าพักเถิด ตัวข้าก็มีสิ่งที่ต้องไปทำเช่นกัน”
ทั้งสองกล่าวลากันพอเป็นพิธี เมื่อแม่นางเจียอิงออกไปแล้ว ลั่วเริ่นอิงจึงลุกขึ้นเดินกลับไปยังเตียง
ร่างกายนางยังอ่อนแอเหมือนดังว่า เพียงลุก เพียงนั่ง เท่านี้ก็เหน็ดเหนื่อยเสียเหลือเกิน
คิดไปเพลินๆเพียงครู่ก็หลับไป
*******
ลั่วเริ่นอิงรู้สึกคล้ายว่ามีคนมาจับข้อมือนาง ก่อนจะถอยห่างออกไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมเย็นๆ กลิ่นหอมนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลาย จึงหลับไปอีกครั้ง
แสงแดดสาดเข้ามาแยงตาจนต้องหันหนี แต่เพราะรู้สึกว่าควรตื่นได้แล้ว นางจึงกลั้นใจลืมตาขึ้น
ผ้าม่านเตียงถูกมัดเก็บขึ้นทั้งสองข้าง มิน่าเล่าแสงแดดถึงลอดเข้ามาได้
ลั่วเริ่นอิงชันกายลุกขึ้น หันหน้าไปทางห้องโถง บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ปรากฏร่างของคนที่หายไปเมื่อวาน
ชายหนุ่ม มิใช่สิ เฉียนเย่เจากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งชันศอกขึ้นมาเท้ากับศีรษะ ดวงตาเรียวคมปิดสนิท ใบหน้าผ่อนคลาย
‘แม้แต่ยามนอนยังดูดี’ นางคิดในใจ รู้สึกชื่นชมเขาไม่น้อย
“ไร้มารยาท ยามคนนอนยังจ้องมอง”
อยู่ๆคนที่หลับก็เอ่ยขึ้น ลั่วเริ่นอิงตกใจ ไม่คิดว่าเขาตื่นแล้ว รีบแก้ตัว
“ไม่ ข้า ข้าไม่ได้มอง”
ดวงตาคมลืมขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลทองสวยมองมาที่นาง เขาเปลี่ยนอิริยาบถจากกึ่งนั่งกึ่งนอนมาเป็นนั่งแทน
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
อยู่ๆเฉียนเย่เจาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามไม่ทัน แต่ก็ยอมเอ่ยตอบเขาแต่โดยดี
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินช้าๆเข้ามาหานาง
ลั่วเริ่นอิงคล้ายใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกตนเองไม่เป็นตนเอง
เขาหยุดลงเบื้องหน้า แบมือออกมา นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ บุรุษจึงต้องเอ่ยให้ความกระจ่างแก่นาง
“ข้าจะตรวจชีพจร”
“ชะ เช่นนั้นเอง”
ลั่วเริ่นอิงเอ่ยติดๆขัดๆใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยกมือขึ้นให้เขาตรวจชีพจร
“ท่านเป็นหมอหรือ?” เอ่ยถามออกไปด้วยสงสัย เขาช่วยนาง ทั้งยังรักษานาง หากไม่มีความรู้จะรักษานางได้เช่นไร
“ทุกคนในอาณาจักรย่อมต้องมีความรู้ทุกแขนง”
‘อาณาจักร’ คำนี้อีกแล้ว
“ที่นี่คือที่ใดหรือ?”
ครานี้เขาไม่ตอบในทันที หยิบขวดข้างเตียงออกมา เทใส่มือ เม็ดยาเล็กๆสีน้ำตาลไหลออกมาจากขวด ยื่นให้นาง
“ขอบคุณ”
ลั่วเริ่นอิงกล่าวพลางรับยาใส่ปาก รสของมันไม่คมมีรสหวานเปรี้ยวนิดๆ
“เพิ่มพลังลมปราณ” เขาอธิบาย
เฉียนเย่เจาลุกขึ้นหันหลังกลับ เอ่ยออกมา
“ไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าคงไม่ได้อยู่นาน”
คำตอบของเขาทำให้ ใบหน้างามตึงขึ้น รู้สึกเหมือนนางถูกต่อว่าอีกครั้ง
‘เอาเถอะ แม้เขาจะปากร้ายไปมาก แต่ก็ช่วยเหลือนาง’
“คุณชายเฉียน ข้าขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ”
ไม่มีคำใดตอบกลับมา แต่ท่าทางที่หยุดฟังนั้น นางจึงคิดว่าเขารับคำขอบคุณแล้ว
‘โย่วหวางเคยเล่าให้ฟัง ในดินแดนนี้กว้างใหญ่ มีหลายเชื้อ หลายความเชื่อ นักพรต เทพเซียน หรือหมอผู้เก่งกาจมักปลีกวิเวก ไม่สุงสิง ทั้งยังไม่รับแขก แต่จิตใจมีคุณธรรม หากพบผู้เดือดร้อน ย่อมช่วยเหลือ คุณชายเฉียนผู้นี้คงเป็นเช่นนั้น’
เฉียนเย่เจาเดินออกมาจากห้อง พบเจียอิงที่ยืนตันทางเขาอยู่
“ท่านจะปล่อยนางไปหรือ?”
นางเอ่ยถามองค์รัชทายาทและผู้ที่นางเลี้ยงมา เขาสูงส่งกว่านาง แต่นางกลับเอ็นดูเขาเหมือนบุตรแท้ๆ
องค์ชายน้อยผู้นี้ ชีวิตช่างอาภัพนัก
เฉียนเย่เจามองตอบเจียอิง นัยน์ตาไหววูบ เอ่ยเสียงอ่อน
“คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง”
ใจคนฟังและคนพูดไหวสะท้าน รวดร้าว คืนพระจันทร์เต็มดวง มาเร็วเสมอ
“แต่ท่านจะสูญเสียโอกาส”
“แต่ข้าจะสูญเสียการเป็นมนุษย์ตลอดกาล ถ้าให้นางยังอยู่”
“ท่านทรมานกับเลือดของนาง”
เจียอิงเอ่ยเสียงสั่น มององค์ชายที่นางเลี้ยงมาด้วยความสงสาร นางก้าวเข้ามาใกล้ จับแขนใหญ่ปลอบประโลม
เฉียนเย่เจาสบตาเจียอิง ความอ่อนแอฉายออกมาชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปไร้ความรู้สึกเช่นเดิม กล่าวออกมาน้ำเสียงเย็นชา
“อีกชั่วยามข้าจะพานางออกไปจากที่นี่”
*******
ชั่วยามต่อมา
ลั่วเริ่นอิงในชุดสีน้ำตาล เป็นชุดใหม่ที่เจียอิงนำมาให้ พร้อมข้าวของเครื่องใช้ของนางที่นำติดตัวมา ทุกสิ่งอยู่ครบ
ลั่วเริ่นอิงจึงเลือกกำไลหินสีครามที่ตนมักใส่ติดกายอยู่เสมอมอบให้เจียอิง
“รับไปเถิดนะเจ้าคะ ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่าน มีเพียงสิ่งนี้ที่เหมาะสมที่จะมอบให้ท่าน ขอบพระคุณที่ดูแลข้ามาตลอดหลายวัน”
นางบอกเจียอิงระคนขอร้อง เจียอิงใจอ่อนจึงยอมรับมา กำไลหินอ่อนสีครามงดงามมากแต่งดงามไม่เท่าจิตใจคนให้ นางจะจำไว้ว่า คราหนึ่งเคยพบ มนุษย์ที่จิตใจดีเพียงนี้
“ในห่อผ้ามีอาหารแห้ง เอาไว้ทานยามเดินทางไกลนะจ๊ะ”
เจียอิงเอ่ยบอก นางรู้สึกเอ็นดูสตรีผู้นี้นัก เอ็นดูไม่ต่างจากที่เอ็นดูองค์ชายเลย
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
สตรีทั้งสองสวมกอดกัน เจียอิงใช้จังหวะนั้น ร่ายเวทย์คุ้มครองหญิงสาว ทั้งสองคลายอ้อมกอดออกจากกัน
ลั่วเริ่นอิงถอยห่างไปเล็กน้อย ประสานมือทำความเคารพแม่นางเจียอิง
เจียอิงน้ำตาคลอพลางเอ่ยอวยพร
“ขอให้โชคดี”
“รักษาตัวนะเจ้าคะ”
ทั้งสองบอกลากันเสร็จ เจียอิงก็พาลั่วเริ่นอิงออกมานอกห้อง เฉียนเย่เจายืนรออยู่ก่อนแล้ว
ลั่วเริ่นอิงบอกลาแม่นางเจียทางสายตาอีกครั้งก่อนจะเดินตามคุณชายเฉียนเย่เจาไป
เจียอิงทอดมองสองร่างที่เดินห่างออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ต่อหญิงสาว หากเป็นไปได้ นางอยากให้ แม่นางน้อยลั่วอยู่ที่แห่งนี้
เฉียนเย่เจาเดินนำสตรีชาวมนุษย์เงียบๆ จนเมื่อมาหยุดที่ประตูทางออกจากเรือน เขาถึงหยุดเดินหันมาหานาง เอ่ยขึ้น
“ข้าจะปิดตาเจ้า”
ลั่วเริ่นอิงพยักหน้า ยอมหลับตาแต่โดยดี เฉียนเย่เจามองแล้วก็อดตั้งคำถามไม่ได้ ว่าเหตุใดนางถึงไม่ซักไซ้ไล่ถาม
‘ผิดวิสัยนัก’
แต่ถึงจะสงสัย เฉียนเย่เจาก็ไม่ได้ถามออกไป เมื่อนางไม่เอ่ยถาม เขาก็ไม่คิดตอบเช่นกัน
องค์ชายหมาป่าแบมือข้างซ้าย ปรากฏผ้าสีขาวบนฝ่ามือ เฉียนเย่เจาเดินอ้อมไปด้านหลังผูกผ้าปิดตาให้นาง เสร็จแล้วถึงคว้าเอวบางเข้าหาตัว รับรู้ว่านางขืนตัวออก เฉียนเย่เจาจึงกระซิบบอก
“ข้าไม่ได้จะลวนลาม”
ลั่วเริ่นอิงรู้สึกอับอาย ทั้งที่นางเป็นผู้ถูกกระทำแท้ๆ
ต่อมานางรู้สึกว่าเท้าของนางลอยจากพื้น และเคลื่อนไหวรวดเร็ว คาดเดาว่า ตนกำลังลอยอยู่เหนือพื้นด้วยวิชาตัวเบา นางเกาะบ่าเฉียนเย่เจาแน่น ยังดีที่เขาไม่ต่อว่าเรื่องนี้ มิเช่นนั้นนางคงไม่รู้จะทำเช่นไร
ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงรู้สึกถึงพื้นดิน ผ้าปิดตาถูกเปิดออก ลั่วเริ่นอิงลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นคือ เฉียนเย่เจา เขามองนางนิ่งๆ
ลั่วเริ่นอิงหลบสายตาปล่อยมือตนจากบ่าของเขา ถอยห่างออกมา เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณคุณชาย”
“เจ้าเดินตรงไปเรื่อยๆก็จะพบหมู่บ้าน ขอให้โชคดี”
ลั่วเริ่นอิงยืนหลังตรง มือประสานเข้าหากันโน้มกายลง
“ขอบคุณ คุณชายที่ช่วยชีวิต บุญคุณนี้ ข้า ลั่วเริ่นอิง จะจดจำมิลืม”
องค์หญิงลดแขนลง กลับมายืนตรงอีกครา พยักหน้าให้เฉียนเย่เจาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากไป
องค์ชายหมาป่ามองแผ่นหลังบางที่ค่อยๆหายไปจากสายตา เมื่อนางหายไปแล้ว เขาถึงหันกายกลับ
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่งงงงงงงง!!
เฉียนเย่เจาหยุดชะงักร่างที่จะกระโดดขึ้นด้านบน เมื่อได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนดังลั่น
องค์ชายหมาป่ารีบหันไปทางที่ ลั่วเริ่นอิง เดินไป ใบหน้ารูปงามฉายความตกใจออกมาอย่างชัดเจน
‘พวกมัน พบนางแล้ว’
*******
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงเดินตรงมาเรื่อยๆตามที่ เฉียนเย่เจาบอก เส้นทางไร้ผู้คน โชคยังดีที่ ท้องฟ้ายังสว่าง หากเป็นยามกลางคืนคงน่ากลัวไม่น้อย
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่งงงงง!
อยู่ๆ ก็มีเสียงเห่าหอนของสุนัข ร่างบางยืนนิ่งอยู่กับที่ กวาดมองรอบๆด้วยความรู้สึกหวาดระแวง
ลั่วเริ่นอิงกอดห่อผ้าไว้แน่น เหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมหรือ แล้วนางจะโชคดีเหมือนตอนนั้นหรือไม่
โฮ่งงงงงงงง
เสียงเห่าหอนดังขึ้นอีกครั้ง องค์หญิงลั่วเริ่นอิงตัดสินใจวิ่ง นางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงหอนไล่ตามหลังมาติดๆ แม้ไม่เห็นตัวของหมาป่า องค์หญิงก็รู้สึกได้ว่านางกำลังถูกไล่ตาม
ครืดดดด
"กรี๊ดดดดด!"
องค์หญิงร้องลั่นเมื่อหมาป่าตัวใหญ่สีดำกระโดดมาตรงหน้านาง
หมาป่าตัวใหญ่กว่านางหลายเท่า ขนสีดำ ตาสีแดงดั่งเลือด มันอ้าปากกว้างเห็นเขี้ยวแหลมคมกับน้ำลายไหลยืดออกมาจากปาก มันย่างกรายเข้ามาหานาง
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงถอยหนี ไม่กล้าละสายตาจากหมาป่าเบื้องหน้า
หมาป่าตัวนั้นกระโจนเข้ามาหานาง ลั่วเริ่นอิงหลับตาแน่น เตรียมใจรับความเจ็บและความตาย
กรวบ! เสียงกัดดังไปทั่วป่าแต่องค์หญิงกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด นางลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือ หมาป่าขนสีเงินกัดเข้าที่ลำคอของหมาป่าขนดำ เจ้าหมาป่าขนดำร้องครั้งเดียวก็แน่นิ่งไป หมาป่าขนสีเงินสะบัดซากศพของหมาป่าขนดำไปชนกับต้นไม้ดัง อัก!
เหมือนเรื่องจะจบเพียงเท่านั้น แต่กลับไม่ใช่ ฝูงหมาป่าขนสีดำปรากฏตัวขึ้นรอบๆป่า
ขนของนางลุกชันไปทั่วกายเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้
เจ้าหมาป่าสีเงินโก่งคอเห่าหอน นำพาเมฆลอยมาบดบังจนท้องฟ้ามืดมิด กลางวัน เปลี่ยนเป็นกลางคืน
ฝูงหมาป่าขนดำกระโจนเข้าหาเจ้าหมาป่าขนเงิน
นางมองหมาป่าสองสีต่อสู้กัน เจ้าขนเงินถูกรุมแต่เหมือนไม่เป็นผู้เสียเปรียบ มันเก่งกาจอย่างไม่น่าเชื่อ
หมาป่าขนดำนอนตายเลือดนอง คอขาดไปหลายตัว เลือดสีแดงเปรอะเปื้อนตัวของหมาป่าขนเงิน
ลั่วเริ่นอิงเอาใจช่วยเจ้าหมาป่าขนเงินด้วยใจพะวง กลัวจะเสียท่า ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่า มีหมาป่าขนดำแอบย่องเข้ามาด้านหลังนาง
องค์หญิงรู้สึกถึงเงาใหญ่ดำๆด้านหลังจึงหันไป หมาป่าขนดำแยกเขี้ยวพร้อมกระโจนใส่ ลั่วเริ่นอิงล้มลงร้องลั่น
เฉียนเย่เจาในกายหมาป่าหันกลับมา เห็นสตรีมนุษย์กำลังจะถูกขยำ แววตาสีทองวาดผ่านเกิดแสงสีเงินเฉือนคอหมาป่าขาดกระเด็น เลือดไหลอาบใส่ร่างของลั่วเริ่นอิง นางเบิกตากว้างตกใจแถบสิ้นสติ กลิ่นเลือดเหม็นคาวจนแถบอยากอาเจียนออกมา
เฉียนเย่เจาหันกลับมา ตัดสินใจคืนร่างเป็นมนุษย์ ปรากฏกระบี่สีเงินในมือ เฉียนเย่เจาวาดกระบี่ครั้งเดียว แสงสีเงินก็บั่นคอพวกหมาป่าต่ำตมเหล่านี้ให้ขาดกระเด็น เลือดสีแดงอาบไปทั่วบริเวณ เหม็นคาวคละคลุ้ง
เฉียนเย่เจาสะบัดกายหันกลับมาทางลั่วเริ่นอิงที่นอนอยู่ นางลืมตาโพล่ง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่อยู่กับตัว
เฉียนเย่เจา ย่อกายรวบร่างบางขึ้นอุ้ม ลั่วเริ่นอิงรู้สึกตัว มองชายหนุ่มคุ้นหน้า ดวงตาสีทองของเขา ช่างเหมือนตาหมาป่าเมื่อครู่ ความทรงจำแรกหวนคืนมา หมาป่าขนเงิน นัยน์ตาสีทอง
"ที่แท้...ท่านคือ...หมาป่า..ตัวนั้น"
เฉียนเย่เจาก้มมองสตรีมนุษย์ในอ้อมแขน ไม่กล่าวอันใดและไม่เอ่ยปฏิเสธ ร่างของเขาลอยขึ้นสูง มุ่งหน้ากลับ…สระมรกต