เรื่องเล่าขานที่ ๒ ดินแดนหมาป่า
เรื่องเล่าขานที่ ๒
ดินแดนหมาป่า
ในยามที่ปิ่นกำลังจะปักลงที่หน้าอกด้านซ้าย แต่แล้ว ทุกสิ่งก็หยุดชะงัก หิมะที่โปรยลงมาหยุดค้างกลางอากาศ สายลมหยุดพัด ทุกสิ่งหยุดนิ่งอยู่กับที่ ร่างของหญิงสาวก็หยุดเคลื่อนไหวเฉกเช่นเดียวกัน มีเพียง หมาป่าสีเงิน ดวงตาสีทองที่ยังเคลื่อนไหวได้อยู่ มันจ้องมองหญิงสาวนิ่ง
หมาป่าตัวนั้น ย่างเท้าเข้ามาใกล้ๆนาง ก่อนจะมีหมอกสีเงินลอยขึ้นครอบร่างของเจ้าหมาป่า หมอกค่อยๆจางหายไป สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือ ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอร่ามไปทั้งเรือนกาย รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ผมยาวสีหมึกเส้นหนารวบขึ้นครึ่งศีรษะ อีกครึ่งปล่อยทิ้งสยายกลางหลัง นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเหลือบทองรับกับแผงขนตายาวงอน วงหน้างดงามหล่อเหลาประณีต
บุรุษ หรือ หมาป่าในร่างคน โน้มกายลงมามองพินิจหญิงสาวชาวมนุษย์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย เพียงเขากะพริบตา ปิ่นปักผมแหลมคมก็งองุ้มจนหัก หลุดออกจากมือหญิงสาว
บุรุษยืดตัวตรงเช่นเดิม กระดิกนิ้วชี้พร้อมหันกายกลับ ร่างของหญิงสาวก็นอนราบเหยียดตรง ลอยตามเขาไป
ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่แม้จะอยู่รอบๆแต่ก็ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้เขาแม้แต่ตัวเดียว
และเมื่อชายหนุ่มหายไปแล้ว ความเคลื่อนไหวต่างๆก็กลับมาเป็นปกติ หิมะยังตกลงมาเช่นเดิม สายลมพัดผ่านตามธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ราวกับ ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นมาก่อน
ตำนานเล่าขานของชาวบ้านเล่าว่า ในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ยังมีดินแดนคู่ขนานที่ซ้อนทับดินแดนของมนุษย์ ดินแดนเทพ ดินแดนปีศาจ ดินแดนของเหล่าเซียน
มีสัตว์วิเศษ มีปีศาจ และมี มนุษย์หมาป่า
บ้างว่าเคยพบเห็น บ้างว่าไม่มีอยู่จริง
ไม่มี…ผู้ใดทราบทั้งสิ้น
แต่ในยามนี้ มีหญิงสาวนางหนึ่ง ที่หลุดเข้าไปในดินแดนลึกลับแห่งนั้น ว่ากันว่า
หากมีหญิงสาวพรหมจรรย์ทะลุค่ายกลเข้ามาได้ นางจะเป็นคนที่ถอนคำสาปให้แก่
มนุษย์หมาป่า
*******
ตำหนักสระมรกต
เรือนไม้หลังใหญ่ ตั้งอยู่กลางทะเลสาบสีเขียวมรกต รวบอาณาเขตกว้างไปทั้งแถบ ฉากหลังเป็นภูเขาสี่ลูกซ้อนกัน มีหมอกบางๆลอยอยู่รอบๆ ตัวเรือนไม้ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
มิทราบว่าทรงตัวอยู่ได้เช่นไร ไม่มีสะพานทอดจากตัวเรือนไปยังฝั่งเสมือนสร้างมาโดยการเนรมิตอย่างไรอย่างนั้น
ในห้องนอนขนาดใหญ่ตกแต่งงดงามหรูหรา ภายในห้องสะอาดสะอ้าน
บนเตียงปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่งนอนอยู่ เรือนร่างขาวผ่องในชุดสีขาวผ้าชั้นดี ยิ่งทำให้นางงดงามบริสุทธิ์ ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบเส้นผมสีหมึกเส้นเล็กดุจเส้นไหม คิ้วหงส์รับกับใบหน้า
ผิวหน้าเนียนละเอียด มีเลือดฝาดนิดๆตรงกลางแก้มทั้งสอง ริมฝีปากเป็นกระจับสีแดง หญิงสาวผู้นี้ นางช่างงดงามไร้ที่ติ
“นี่หรือ มนุษย์ ไม่ต่างจากพวกเราเลย”
หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น พลางหันไปหาบุรุษรูปงามในชุดสีฟ้าอ่อน แม้นเครื่องประดับไม่มาก แต่เพียงปิ่นหยกชิ้นเดียวก็ทำให้เขาสง่างามจนไม่อาจละสายตาได้
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิงตัวยาว เก้าอี้สลักด้วยทอง ประดับด้วยเพรชพลอยสีไพลินวาววับบริเวณหัวที่พักแขนทั้งสองข้าง ฝูกสีน้ำเงินเข้มหนานุ่ม
บุรุษรูปงามค่อยๆวางถ้วยน้ำชาลายเมฆลงยังโต๊ะข้างๆ กิริยาของเขาลื่นไหลดุจสายน้ำ ให้ความรู้สึกสงบยามจ้องมอง
ดวงตาเรียวรีคมกริบปรายตามองหญิงสาวเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ พลางเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เหมือนสิ เราก็เป็นมนุษย์”
หญิงสาวส่ายหน้า แก้ต่างให้องค์ชายของนาง
“ครึ่งเพคะ ฝ่าบาท ครึ่งมนุษย์”
บุรุษรูปงาม ที่ทราบว่าฐานะไม่ธรรมดา เมื่อถูกสตรีตรงหน้าเอ่ยแย้ง ใบหน้าก็มึนตึง ร้องในลำคอ อย่างไม่พอใจ
“ไปไหนก็ไป เจียอิง”
คนถูกไล่ อมยิ้มน้อยๆอย่างรู้สึกขบขัน
‘ไม่พอพระทัยทีไร เป็นไล่เสียทุกที ช่างเอาแต่ใจนัก’
“เพคะ เช่นนั้น เจียอิง ขอตัวไปต้มน้ำแกงนะเจ้าคะ เผื่อแม่นางมนุษย์ผู้นี้ตื่น นางคงจะอยากอาหาร”
องค์ชายที่ยังไม่ทราบพระนาม หันหน้ากลับมาสนใจถ้วยชาบนโต๊ะ เป็นอันว่าอนุญาต
เจียอิงจึงยอบกายลง เดินออกไปจากห้องนอน
เมื่อหญิงสาวอีกผู้ออกไปแล้ว องค์ชายรูปงาม จึงลุกจากเก้าอี้ เดินช้าๆไปที่เตียง จ้องพินิจสตรีมนุษย์อยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“อ่อนแอแท้ หลับมาสามวันแล้วยังไม่ตื่น”
ว่าจบก็ยกฝ่ามือขึ้น เกิดแสงสีเงินที่ฝ่ามือ องค์ชายรูปงาม ไล่แสงเหนือร่างของสตรีบนเตียง ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงสีเงินหายไปแล้ว องค์ชายจึงลดมือลง หันกายกลับไปยังที่นั่งเดิมพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน เพื่อรอเวลาต่อไป
*******
ครื้น! โครม! เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องและเสียงฟ้าผ่า พาให้ร่างบนเตียงสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงยกมือขึ้นทาบอกพระนางหันไปมองยังหน้าต่างที่ปิดอยู่ หน้าต่างแบบใสมองเห็นด้านนอกทำให้เห็นเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างหนักพร้อมแสงแวววาบบนท้องฟ้า พระนางถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางเอนกายลงหมายจะหลับต่อ แต่แล้วก็เหมือนนึกขึ้นมาได้
‘เราอยู่ที่ใด’
ความทรงจำล่าสุดคือ พระนางหนีจากการก่อกบฏตกลงมายังสถานที่ ที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน พบกับหมาป่าตัวใหญ่ แล้วตัดสินใจปลิดชีพตนเอง แล้วในยามนี้
‘เราอยู่ที่แห่งใด มาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร แล้ว’
ความสงสัยในใจต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงประตูเปิดเข้ามา
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้างตกตะลึงบุรุษที่ก้าวเข้ามาในห้องผู้นั้น
ชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่งกำยำในอาภรณ์สีขาว ผมดกดำเงางามรวบเกล้าครึ่งศรีษะสวมกวานเงินอีกครึ่งปล่อยตรงถึงกลางหลัง เครื่องหน้าก็งดงามโดดเด่น อย่างไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน หรือหากพบความงดงามโดดเด่นเกินปุถุชนธรรมดาเช่นนี้ ก็เห็นมีแต่โย่วหวาง นักพรตเวทย์ทั้งยังเป็นอาจารย์ของนาง
ไม่เพียงหน้าตาที่งดงามโดดเด่นแล้ว ท่วงท่าก็สง่าสูงส่ง อย่างไม่อาจละสายออกจากเขาได้
ชายหนุ่มเดินมาหยุดลงตรงหน้า เขาไม่ได้เอ่ยกล่าวอันใด องค์หญิงลั่วเริ่นอิงเองก็คล้ายจิตใจล่องลอยไปไกล พระนางจ้องมองบุรุษเบื้องหน้านิ่ง
“ตื่นแล้วรึ?”
น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ได้ฟังแล้ว ช่างไพเราะนัก
องค์ชายรูปงามจ้องมองหญิงสาวชาวมนุษย์ทั้งตั้งคำถามในใจ ว่าเหตุใดนางถึงคล้ายคนไม่เต็มเต็ง หรือนางจะไม่ปกติ เป็นไปได้ คนปกติที่ใดจ้องหน้าคนอื่นเช่นนี้
“ไร้มารยาท”
วาจารุนแรงถูกเอ่ยขึ้นจากชายหนุ่ม ทำให้องค์หญิงลั่วเริ่นอิงผู้ไม่เคยถูกว่ากล่าวเช่นนี้สะดุ้งตกใจ สติคืนกลับมา
ใบหน้างามแดงก่ำเมื่อทราบว่าเขาต่อว่าตน ทั้งนางก็ยังทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ
“ข้า ข้าขออภัยเจ้าค่ะ”
องค์ชายรูปงามไร้นาม สะบัดชายผ้าหันกายหมายเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ แต่หญิงมนุษย์เอ่ยรั้งเขาไว้เสียก่อน
“ท่าน”
องค์ชายหันกลับมา ใบหน้าเรียบตึง เย็นชา บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง
องค์หญิงลั่วเริ่นอิง ขยับกายลงจากเตียงหมายยืนขึ้น แต่เพียงจะยืดตัวลุกขึ้นยืนนางกลับไร้เรี่ยวแรงเซล้มโชคดีที่ชายหนุ่มเร็วกว่า เขาจับแขนนางไว้ ทำให้นางไม่ล้มลงไป
องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมองตอบบุรุษที่มองนางอยู่ ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน เกิดความหวั่นไหวในใจอย่างประหลาด แม้แต่ตัวบุรุษเองยังประหลาดใจ ว่าเหตุใด จึงรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้น หรือเป็นเพราะ จับตัวของมนุษย์
“ขอบพระคุณ และ ขอโทษ เจ้าค่ะ”
“เจ้าหมดสติไปหลายวัน อย่าขยับกายมาก”
เอ่ยเตือนพลางดันร่างบางให้นั่งลงกับเตียง ก่อนจะถอยห่างออกมาเล็กน้อย
“เดี๋ยวเจียอิงจะนำอาหารมาให้เจ้า”
บอกเพียงสั้นๆแล้วหันกายเดินออกไปจากห้อง ไม่ทันให้นางได้ถามว่า ที่นี่ ที่ใด หรือเขาเป็นใคร
องค์หญิงลั่วเริ่นอิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมีประตูเปิดออกอีกครั้ง เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ถือถาดอาหารเข้ามา นางยิ้มให้ตน กล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง
“แม่นางตื่นแล้ว มาเถิด มาทานอาหาร ทานยา จะได้มีแรง”
ว่าพร้อมจัดวางอาหารไปพลาง กิริยาร่าเริงเป็นกันเองนั้นทำให้ความตึงเครียดของนางลดลง ยอมให้หญิงสาวแปลกหน้าพยุงนางไปยังโต๊ะทานอาหาร
*******
ด้านนอก องค์ชายรูปงามเดินออกมาจากห้อง เมื่อครู่ภายในใจว้าวุ่น อดหวนนึกถึงประโยคหนึ่งที่เขียนอยู่ในตำราโบราณว่า
‘ใจเชื่อมใจ ด้ายแดงผูกพัน ผู้ถอนคำสาปก็เปรียบเสมือนเนื้อคู่’
คิดแล้วก็ส่ายหน้า ในใจมิอาจยอมรับได้ อีกอย่าง ตัวเขา จะชอบมนุษย์ได้ อย่างไร
‘มิมีทาง’
“องค์รัชทายาทเพคะ”
เสียงเรียกพาให้เขาได้สติ องค์ชายรูปงาม รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยถามข้ารับใช้ผู้นั้น
“มีสิ่งใด”
“ฮองเฮาเรียกหา องค์รัชทายาทเพคะ”
ใบหน้าเรียบนิ่งของเขา ยิ่งเรียบตึงขึ้นอีกเมื่อฟังจบ
“ข้าทราบแล้ว”
*******
วังเหมันต์ คือสถานที่พำนักขององค์ฮองเฮาแห่งอาณาจักร เฉียนหลัง แห่งนี้ เหตุที่เรียกว่า วังเหมันต์ เพราะ ตัวพระราชวังสร้างจากน้ำแข็งที่ไม่ละลาย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี เสมือนหัวใจที่เหน็บหนาวของฮองเฮา เฉียนหยู่ ผู้นี้
ตำหนักน้ำแข็งในความสวยงามยังแฝงความน่ากลัว สถานที่แห่งนี้ นอกจากคนสนิทแล้วก็มีเพียงฮองเฮาเฉียนหยู่ที่อยู่ที่นี่
“อาเวียน อาเวียน”
“เพคะ ฮองเฮา”
“องค์รัชทายาทมาหรือยัง?”
“กำลังเสด็จมาเพคะ ฮองเฮา ทำใจเย็นไว้นะเพคะ”
สตรีในชุดสีขาวใบหน้างดงามเหนือสตรีใด ดวงตาเรียวรีดุจดวงตาหงส์แดงก่ำและแฝงแววเศร้าในที กับหญิงสาวในชุดสีครีม ความงามน้อยลงกว่าอีกนางเพียงนิด แต่นัยน์ตามิเศร้าหมองเช่นอีกคน นางถูกเรียกว่า อาเวียน
เสียงย่างเท้าดังก้องไปทั่วตำหนัก ทำให้สตรีทั้งสองเผยยิ้มออกมา
“องค์รัชทายาทมาแล้วเพคะ”
“อาเจา อาเจาของแม่ อาเจา”
ฮองเฮาเฉียนหยู่เอ่ยเรียกนามของโอรส ก่อนจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็น ผู้ที่อยากพบ
องค์ชายรูปงามปรากฏกายพร้อมพุ่งเข้ามาหาฮองเฮาทั้งตอบรับคำเรียกนั้น
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ลูกมาแล้ว”
ฮองเฮาเฉียนหยู่ มองใบหน้าโอรสของพระนางด้วยสายตารักใคร่ระคนเศร้าหมอง มือเรียวงามยกขึ้นจับใบหน้าของโอรส กล่าวเสียงเครือ
“แม่คิดถึงเจ้า เจาเจา”
องค์ชายรูปงามแท้แล้วมีพระนามว่า เฉียนเย่เจา
องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักร เฉียนหลัง อาณาจักร ของมนุษย์หมาป่า
ข่าวลือฉาวโฉ่ขององค์ฮ่องเต้เฉียนเหยียนหรานดังไปทั่วอาณาจักร เผ่าใดก็ทราบดีว่า เฉียนเหยียนหราน แต่ง เฉียนหยู่ เป็นฮองเฮาด้วยเพราะ เป็นสายเลือดสีเงินเฉกเช่นเดียวกัน เท่าเทียมกัน ผู้ใดล้วนทราบว่าเหมาะสม แต่เขากลับมิมีใจต่อเฉียนหยู่ ต่างจาก เฉียนหยู่ที่หลงรักเฉียนเหยียนหรานหมดหัวใจ หลังแต่งตั้งฮองเฮาได้สี่ปี เฉียนหยู่ตั้งครรภ์โอรสคนโต เฉียนเหยียนหรานก็หักหน้านางด้วยการแต่งงานกับอินซูซู บุตรสาวของขุนนางคู่พระทัย
ตระกูลอิน มีขนสีขาวแซมสีเทา ตาสีน้ำตาล ในยามแปลงเป็นหมาป่า แต่หากอยู่ในร่างมนุษย์ ดวงตาจะมีสีดำเหลือบน้ำตาลนิดๆ มนุษย์หมาป่าตระกูลอินเป็นชนชั้นขุนนาง ข่าวว่าทั้งสองเคยรักกันมาก่อน ฮองเฮาเฉียนหยู่เสียพระทัยอย่างมาก หนึ่งปีต่อมา ทั้งฮองเฮา และ สนมอิง ตั้งครรภ์พร้อมกันแต่ฮ่องเต้กลับไม่ใส่ใจฮองเฮาแม้แต่น้อย และยิ่งสนมอินคลอดบุตรออกมาเป็นชายเช่นฮองเฮา บุตรชายคนเล็กและพระนางก็ถูกละเลย ผ่านไปหลายปี เล่าลือว่า ฮองเฮา เสียใจจนสติวิปลาส ถูกขังในวังเหมันต์
“แม่อยู่คนเดียว เหงาเหลือเกิน เจาเจา ลูกมาอยู่กับแม่นะวันนี้”
น้ำเสียงเศร้าสร้อยร้องบอกโอรส
เฉียนเย่เจา จับมือมารดามากุมไว้ เผยยิ้มอ่อนโยน กล่าวบอกมารดาเสียงอ่อน
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะนอนที่นี่กับ ท่านแม่”
กล่าวจบก็สวมกอดมารดา ใบหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย นัยน์ตากร้าวขึ้นยามนึกถึงคนผู้หนึ่ง คนที่ทำให้มารดาของเขาต้องเป็นเช่นนี้