บท
ตั้งค่า

เรื่องเล่าขานที่ ๑ โชคชะตาหรือการจัดวาง

เรื่องเล่าขานที่ ๑

โชคชะตาหรือการจัดวาง

แคว้นจิงเหรียน

ในค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิด แสงสีแดงของเพลิงลุกท่วมทั่วเมืองหลวง หนักที่สุดคือวังหลวงที่เคยงดงาม ยามนี้เต็มไปด้วยเพลิงเผาไหม้ท่วมทั่ววังอันแสนสวยงาม เสียงกรีดร้อง เสียงขอความช่วยเหลือดังก้อง พื้นอิฐสีขาวถูกลาดไปด้วยสีแดงสดของเลือด ร่างของคนนอนกองไปตลอดทางเดิน ทั้งข้าหลวง ทหาร ราชนิกุล สนม คนทั้งหมดที่อยู่ในวังวันนี้ ถูกเอามาฆ่าทิ้งหน้าท้องพระโรง ทหารในวังหลวงถูกจับมัด รอการประหารทิ้ง การฆ่าล้างโครตนี้โหดร้ายเกินจะทานทน

“นายท่านขอรับ เราไม่เจอองค์หญิงลั่วเริ่นอิง ขอรับ”

ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานกับชายที่นั่งมองโศกอนาฏกรรมนี้ เอินซั่ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้คิดคดทรยศต่อราชบัลลังก์ลั่ว

ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าไร้พิษสงใดๆดูแล้วเป็นชายหน้าตาใสซื่อ แต่นั่นมิเป็นเช่นที่เห็น

เอินซั่ว คิดเป็นใหญ่ ใช้อุบายและความไว้ใจที่ฮองเต้มีต่อตนก่อกบฏล้างราชวงศ์ลั่ว

“หาให้พบ แล้วจัดการเสีย”

น้ำเสียงของเอินซั่วไม่แข็งกร้าว แต่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต สายตามองต่ำลงเบื้องล่าง ศพของอดีตฮ่องเต้และฮองเฮา นอนกองอยู่ตรงนั้น แววตาและสีหน้าของเอินซั่วไม่เปลี่ยนแปลง เขามิได้ฉายความเกลียดชัง มิมีความเคียดแค้น มีแต่ความนิ่งสงบ สงบจนน่ากลัว

*******

ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า

“องค์หญิง องค์หญิงทรงหนีเถิดพ่ะย่ะค่ะ กบฏพังประตูวังเข้ามาได้แล้ว”

องครักษ์เข้ามารายงานต่อองค์หญิงลั่วเริ่นอิง พระนางในอาภรณ์สีครีมปักลวยลายสีทองรีบผุดลุกขึ้นจากที่ประทับ ถลาเข้ามาหาองครักษ์ตรัสถามด้วยความร้อนรน

“แล้วเสด็จพ่อเสด็จแม่เล่า พระองค์อยู่ที่ใด?”

องครักษ์หน้าเผือดสี เมื่อนึกถึงคำสั่งของทั้งสองพระองค์

‘พาองค์หญิงหนีไป อย่างไรต้องหนีให้พ้น’

“ทั้งสองพระองค์….” องครักษ์เอ่ยออกมาเท่านั้นก็เงียบไป พาให้ใจของพระนางหล่นฮวบ ใบหน้างามเผือดสี ก้าวถอยหลังจนเกือบล้ม ดีที่มีคนมารับร่างของพระนางไว้เสียก่อน

“พระนางทำใจดีๆพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบ

องค์หญิงลั่วเริ่นอิงเงยใบหน้าขึ้นมองผู้ที่มารับร่างของพระนาง

“โย่วหวาง ข้า ข้า” สุรเสียงสั่นเทารอนจะขาดหาย พาให้ใจคนมองปวดร้าวรานตาม

ผู้ที่ถูกเรียกว่าโย่วหวางมองเลยไปยังองครักษ์ที่หันมาสบตากับเขา องครักษ์คล้ายจะเอ่ยกล่าว แต่โย่วหวางส่ายหน้าห้ามปรามไว้เสียก่อน

“แม้จักสิ้นองค์ฮ่องเต้และฮองเฮา แต่พระนางจำต้องอยู่ต่อพ่ะย่ะค่ะ เพื่อกอบกู้เกียรติยศของราชวงศ์ให้กลับคืน”

องค์หญิงส่ายหน้าเบาๆ พลางตรัสออกมาอย่างคนทดท้อไร้รัศมีของเลือดสีทอง

“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเป็นเพียงสตรี”

“พระนางมิได้เป็นเพียงสตรี พระนางมีสายเลือดแห่งสวรรค์ แม้วันนี้เราจักแพ้ เพื่อในวันหน้าเราจักกำชัย พระนาง ทรงหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงลั่วเริ่นอิงสบตากับโย่วหวาง พระนางไม่รู้ว่าที่โย่วหวางกล่าวมาจักจริงแท้ จักทำได้หรือไม่ แต่หากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ปกป้องตนให้มีชีวิตรอด ท่านต้องหวังและเชื่อมั่นว่าพระนางจักทำได้

“เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ โย่วหวาง?”

ถ้อยคำแฝงแววอ้อนวอนอยู่ในทีแต่แล้วพระนางก็จำต้องผิดหวัง เมื่อโย่วหวางส่ายหน้า

“ข้าจะสร้างเขตอาคมให้คนหาที่แห่งนี้ไม่พบ องค์หญิง รักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

บุรุษทั้งสองคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระองค์ ลั่วเริ่นอิง มองทั้งสองด้วยความตื้นตันใจ

“บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”

ตรัสจบก็มองออกไปด้านนอกที่มีแสงสีเพลิงรายล้อม หยาดน้ำใสไหลรินลงข้างแก้ม องค์หญิงคุกเข่าลงกับพื้น ผสานมือเข้าหากันก่อนจะโน้มตัวลงจนราบติดกับพื้น

‘เสด็จพ่อเสด็จแม่ วันนี้ลูกอกตัญญู เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของพวกท่าน ลูกคนนี้ ขอลา’

ตรัสจบก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้างามเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน พระนางลุกขึ้นยืน หันไปมองโย่วหวางเพื่อเป็นการบอกว่าพระองค์พร้อมแล้ว

ชายหนุ่มพยักหน้า เดินนำไปยังโถงมืดที่มีบันไดลงไปสู่เบื้องล่าง องครักษ์มอบห่อผ้าและตะเกียงไฟให้องค์หญิง พระนางรับไปถือไว้ หันไปหาโย่วหวาง

“ทางลับนี้จะพาพระองค์ไปนอกเมืองหลวง รักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ขอบใจเจ้า เจ้าด้วย ท่านราชองครักษ์”

“มิได้พ่ะย่ะค่ะ”

ทั้งสองตอบออกมาพร้อมกัน องค์หญิงลั่วเริ่นอิงมองทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดใจเดินลงไปยังทางลับนั้น เมื่อแสงแห่งตะเกียงหายลับไปพร้อมกับองค์หญิงแล้ว โย่วหวางจึงร่ายมนต์ปิดทางลับ ทางลับที่มีบันไดเมื่อครู่กลายเป็นพื้นอิฐที่ไม่มีรอยบ่งบอกให้ทราบแม้แต่น้อยว่าบริเวณนี้มีสิ่งใดและจักไม่มีผู้ใดหาทางพบ นอกเสียจาก ฝ่ายนั้นจะมีนักเวทย์

โย่วหวางหันกายกลับ หลับตาลง กล่าวขึ้นลอยๆว่า

“กงล้อของโชคชะตาเริ่มหมุนแล้ว”

*******

ทางดำมืดทอดยาวสุดสายตา จนมิรู้ว่าจะสิ้นสุดที่ใด

องค์หญิงลั่วเริ่นอิง มีเพียงตะเกียงและห่อผ้าที่มีเงินทองอยู่ในนั้น พระนางเดินมาเรื่อยๆ มิรู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ชั่วยาม

ร่างกายเหน็ดเหนื่อย ใบหน้างามชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ

ผมเผ้ารุงรังกระเซอะกระเซิงมอมแมม เสื้อผ้ายับยู่ แม้จะอยากล้มตัวลงนอนพักเหนื่อยมากเพียงใด แต่ความหวาดกลัวก็ทำให้พระนางมิกล้าจะกระทำเช่นนั้น ร่างโปร่งบางราวกับต้นหลิวก้าวไปช้าๆแต่ไม่ยอมหยุด ริมฝีปากที่เคยมีสี ซีดขาวราวกับคนจะหมดลม แต่ร่างกายยังคงขยับต่อ ใบหน้าเคร่งเครียด

‘ข้าต้องเดินต่อ ไปต่อ ขอล่ะ ทนอีกนิดอีกนิด’

พระนางกล่าวกับตนเองในใจพร้อมกับร่างกายที่เคลื่อนไปช้าๆ ช้าๆ ดวงตางามอ่อนล้าหลับลง แต่ขายังก้าวต่อ สายลมแรงพัดเข้ามาจนตะเกียงดับ พระนางหยุดเดินกระชับผ้าคลุมเข้าหาตัวมากขึ้น เมื่อสายลมหนาวหยุดลงแล้ว พระนางจึงลืมตาขึ้น พลันความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวทันที

‘มีลม ใกล้ถึงทางออกแล้วรึ’

เมื่อคิดเช่นนั้น แรงใจจึงมีขึ้นมา เท้าเล็กรีบก้าวเพื่อให้ถึงทางออก วาดฝันถึงหมู่บ้าน น้ำ ของกิน

‘อยากอาบน้ำ’

คิดพลางรีบสาวเท้าเร็วๆ จึงไม่ทันเห็นหลุมขนาดตัวคนหล่นลงไปได้

วืด

“กรี๊ดดดดดดดด!!”

พระนางร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อร่างตกลงไป องค์หญิงลั่วเริ่นอิงหลับตา กอดห่อผ้าไว้แน่น คล้ายมันเป็นสิ่งยืดเหนี่ยว ร่างดิ่งลงด้านล่างอย่างรวดเร็วและ….

ตุบ

ความแข็งของพื้นที่สัมผัสไม่เจ็บนัก แต่กลับเย็นจัด

พระนางลืมตาขึ้น เห็นท้องฟ้าสีขาวอยู่เบื้องหน้า ปุยสีขาวหลากหลายหล่นลงมากระทบผิว สัมผัสถึงความเย็นราวน้ำแข็ง พระนางค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะกวาดตาสำรวจสถานที่ ที่ตนหล่นลงมา

พื้นที่สีขาวโล่ง มีต้นไม้บ้างประปราย มีสิ่งคล้ายปุยนุ่นสีขาวเกาะอยู่ตามกิ่ง บางต้นก็มีน้ำแข็งเกาะแน่นหนาจนเกิดเป็นจะงอยห้อยลงมา งดงามและประหลาดตา

แคว้นจิงเหลียนของพระนางอยู่ทางตะวันออก มิหนาวจัดหรือร้อนจัด เป็นดินแดนแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น แต่ก็เคยอ่านเจอว่าดินแดนทางเหนือสุด มีหิมะตกยามฤดูหนาว หรือนี่จะเป็นหิมะที่โย่วหวางเคยเล่าให้พระนางฟัง

ด้วยความประหลาดใจ องค์หญิงลั่วเริ่วอิง จึงค่อยๆวางมือลงบนพื้นสีขาวที่ปกคลุมด้วยหิมะ ก่อนจะรีบชักมือออก เมื่อรู้สึกว่ามันเย็นจนมือชา

แกรบ

เสียง เสียง หนึ่งดังขึ้น องค์หญิงลั่วเริ่นอิง ขยับกายลุกขึ้นยืน นัยน์ตางามแข็งขึ้นทันควัน กวาดมองโดยรอบ ไม่เห็นสิ่งใด แต่กลิ่นอายอันตรายบางอย่างค่อยๆเคลือบคลานเข้ามา พระนางรู้สึกถึงมันได้

ร่างเล็กถอยหลังช้าๆ สายตากวาดหาทางหนี แต่พื้นที่ ที่มีต้นไม้บางเบาแค่นี้ก็มิมีที่ให้หลบซ่อน และไม่รู้จะหนีไปที่ใด

แกรบ

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง องค์หญิงลั่วเริ่นอิงจึงรีบหันมา ก่อนนัยน์ตาจะเบิกกว้าง ความหนาวเย็นเกาะกุมเข้าสู่หัวใจ ตั้งแต่เกิดมา หรือพึ่งผ่านการก่อกบฏไป พระนางก็ยังไม่รู้สึกถึงความตายเท่าครั้งนี้

หมาป่าตัวใหญ่ขนสีเงินอยู่เบื้องหน้าพระนาง นัยน์ตาสีทองของมันจับจ้องมองมายังร่างของพระองค์ ตัวเดียวว่าน่าหวั่นแล้ว อีกหลายตัวที่เพิ่มขึ้นมายิ่งทำให้ความกลัววิ่งพล่านไปทั่วร่าง พวกมันค่อยๆขยับเคลื่อนกายเข้ามาหาเรื่อยๆ พระองค์มิรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ รอตรงนี้ให้มันกระโจนเข้าหา ฉีกทึ้งร่างของตนออกจากกัน กลายเป็นอาหารของเดรัจฉาน หรือจะวิ่งหนี หมาป่าตัวใหญ่เพียงนี้ ใหญ่กว่าคนเสียอีก เพียงตนขยับกายมันก็คงกระโจนเข้าหาตนไวมากกว่าตนวิ่งเสียอีก

‘นี่สินะ บาปของลูกอกตัญญู เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้ว’

กล่าวต่อว่าตนในใจ ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องที่สมควรทำเสียตั้งแต่อยู่ในวัง

‘ลูกอกตัญญูผู้นี้ มิสมควรให้ท่านทั้งสองให้อภัย แต่เสด็จพ่อ เสด็จแม่ อภัยให้ลูกด้วย’

มือเล็กเอื้อมขึ้นไปดึงปิ่นปักผม ปล่อยให้มวยผมหล่นลงมาราวกับผ้าม่าน เส้นไหมสีดำเรียงตัวสวยล้อมรอบกรอบหน้างามที่แม้จะมอมแมมเลอะเทอะ แต่ก็ยังปิดความงามและความสง่าไว้มิมิด เปลือกตาค่อยๆปิดลง พร้อมกับมือที่เงื้อขึ้นสูง

‘ข้าขอโทษ’

สิ้นความคิดสุดท้าย ปิ่นถูกดึงเข้าหาตัวตรงตำแหน่งหัวใจและมิรู้สึกอันใดอีกเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel