ตอนที่10 สะสมอาวุธ
ไม่กี่วันผ่านมา...
ตรงมุมอับเล็กๆ มุมหนึ่งในที่ลับตาคนของกำแพงแห่งพระราชวังหยางเป่ย ตรงพุ่มไม้ไม่เล็กไม่ใหญ่พุ่มหนึ่งซึ่งปกปิดช่องน้อยๆ ช่องหนึ่งเป็นลักษณะสุนัขลอดผ่านได้นั้น มีคนตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งกำลังทำตัวคล้ายกับว่าตนเองเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน เพราะว่านางกำลังลอดผ่านช่องแห่งนี้เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
ม่านนีเดินทางกลับมายังเขตของวังหลวงและได้ลัดเลาะไปตามซอกหลืบของกำแพงสูงชันเพื่อหลบเหล่าทหารยามจนมาเจอกับช่องของกำแพงขนาดเท่าสุนัขลอดผ่านช่องนี้
ช่องเล็กๆ ช่องนี้เป็นช่องที่ม่านนีได้มาแอบทำเอาไว้ด้วยตนเอง ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมันก็มีช่องที่เล็กมากๆ อยู่แล้วนางจึงมาต่อเติมเพิ่มขนาดให้มันแล้วนำพุ่มไม้ที่เจริญเติบโตพอประมาณย้ายมาปลูกเอาไว้ตรงนี้เพื่อหมายปกปิดช่องเล็กช่องนี้เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนทั้งด้านนอกและด้านใน
ม่านนีลอดผ่านช่องขนาดพอดีตัวช่องนี้เข้ามาภายในวังก่อนจะลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวสำรวจตรวจตราเสื้อผ้าอาภรณ์ สำรวจมวยผมให้อยู่ดีมีระเบียบ พลางหมุนกายพาร่างบางของตนเดินผละไปจากรูกำแพงแล้วเดินเรื่อยๆ มาตามริมกำแพงอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นสายตาเรียวสวยพลันผงะ เมื่อมองเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกอยู่ตรงกำแพง เขายืนมองมาทางม่านนีนิ่งๆ ด้วยสายตาคมดุซ่อนแววประหลาดไม่มีเปลี่ยนแปลง
ในยามนี้เรือนร่างสูงโปร่งดูดีของเขาสวมชุดของราชองครักษ์แบบเต็มยศหล่อเหลาคมคายเปี่ยมสง่าราศีเกินอาภรณ์
เขาคนนั้นคือบุรุษผู้ที่นั่งกินปลากับม่านนีตรงริมลำธารและเป็นบุรุษคนเดียวกับที่ทำท่าทางหื่นกระหายกับนางอย่างผิดวิสัยผิดท่าทางงามสง่าผิดใบหน้าหล่อเหลาผิดท่วงท่าเย็นชาผิดไปหมดผิดมหันต์ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
เขาบอกว่าเขาได้ยินนางแนะนำตัวกับนางกำนัลคนหนึ่ง ว่านางมีนามว่าม่านนี และที่ไปในป่านั้นก็เพราะงานราชกิจส่วนตัวล้วนแล้วแต่เป็นความลับ ซึ่งนั่นจึงทำให้นางได้กระจ่าง
แต่ที่ไม่กระจ่างก็คือเรื่องนั้น
เรื่องนั้นเรื่องเดียว หึ!
เขากินริมฝีปากนาง...
ม่านนียืนส่งสายตาเกรี้ยวกราดสาดเข้าใส่ใครบางคนที่บัดนี้กำลังยืนมองนางอยู่อย่างอดทน
เฟยหมิงยืนเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงไม่ห่างจากช่องที่ม่านนีลอดผ่านออกมาเมื่อครู่มากนัก เขายืนรอนางอยู่เป็นนานหลังจากที่เขากับนางสู้กันจนเหน็ดเหนื่อยในป่าแห่งนั้นแล้วนางก็หนีเขาไป เขาย่อมปล่อยนางไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่านางจะต้องหนีไปที่ใด
แน่นอนว่าปลายทางของนางย่อมเป็นพระราชวังแห่งนี้ เขาจึงเดินทางกลับมาก่อน แล้วมายืนรอนางอยู่ตรงนี้ ไม่ไกลจากตรงที่นางมาแอบทำช่องเอาไว้
ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงร่างกับกำแพงอยู่นิ่งงัน ท่าทีเคร่งขรึมเย็นชาดวงตาเรียบเฉยซ่อนแววลึกล้ำยากเกินเก็บข่ม
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายและลำคอแกร่งของเขาบัดนี้ยังคงปรากฏริ้วรอยเล็บมือน้อยๆ เป็นสายอยู่หลายแห่ง ช่วงไหล่และช่วงอกรวมถึงต้นแขนหนาแน่นก็ยังคงระบมไม่สร่างซา
ทั้งสองส่งสายตาเข้าประสานคล้ายฟาดฟันคล้ายเก็บข่มอารมณ์หลากหลายอยู่เนิ่นนานเหมือนเมื่อหลายวันก่อนไม่เปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดัง
“อยู่ที่นี่นั่นเอง เสี่ยวม่าน” เสียงหวานใสของนางกำนัลนางหนึ่งนามว่าเสี่ยวถิงเอ่ยขึ้นมาทางม่านนีและกำลังเดินปรี่เข้ามาทางนางอย่างหมายมาด
เสียงนั้นทำให้ม่านนีพลันผละสายตาออกจากเฟยหมิงในทันที
ในขณะที่เฟยหมิงยังคงจ้องมองนางไม่วางตา
ไม่ว่าใครก็หาได้มีผลอันใดกับเขาไม่
ตรงมุมกำแพงตรงนี้เป็นลักษณะตั้งฉากกันระหว่างห้องๆ หนึ่งของกำแพงในตำหนักแห่งหนึ่งไร้ซึ่งบุคคลผ่านไปผ่านมา โดยตำแหน่งที่เฟยหมิงยืนอยู่จะเป็นตำแหน่งมุมด้านในของมุมกำแพง
ในขณะที่ม่านนียืนออกมาจากมุมกำแพงในลักษณะคล้ายกับยืนอยู่คนเดียวเมื่อเสี่ยวถิงมองเข้ามา
เสี่ยวถิงเดินมาจนถึงตัวของม่านนีในมุมมองที่มองไม่เห็นเฟยหมิงยืนกอดอกมองม่านนี
หญิงสาวนามว่าเสี่ยวถิงรีบเอ่ยคำอย่างกระตือรือร้น
“ข้าถูกเรียกไปใช้งานที่อื่นเสียหลายวัน เจ้าก็คงเหมือนกัน”
“เจ้ามีอะไร” ม่านนีถามออกไปด้วยใบหน้าใสซื่อแฝงความไว้ตัวไม่คิดจะสนิทกับใครให้ถูกจดจำ
“มีราชองครักษ์มาถามหาเจ้าถึงสามคนเชียว เขาฝากจดหมายมาให้เจ้าด้วย” เสี่ยวถิงตอบคำ
และประโยคนั้นทำเอาร่างสูงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ถึงกับชะงักงันพลันแผ่รังสีบางอย่างออกมา
“หือ” ม่านนีได้แต่ส่งเสียงในลำคอ
“เจ้ามีเสน่ห์ไม่เบาเลย เสี่ยวม่าน” เสี่ยวถิงเอ่ยคำพลางหัวเราะน้อยๆ “อ่ะ! นี่ของเจ้า” เสี่ยวถิงกล่าวคำอย่างต่อเนื่องพลางล้วงเข้าไปในอกเสื้อของตนหยิบของบางอย่างให้แก่ม่านนีอย่างหวังดีเหลือเกิน
ม่านนีมองตามฝ่ามือของเสี่ยวถิงอย่างใคร่รู้ ในขณะที่ใครบางคนมองตามม่านนีอย่างมืดครึ้ม
เฟยหมิงคิดเอาไว้ไม่มีผิด เขาเห็นราชองครักษ์หลายคนเมียงมองมาทางม่านนี
ทั้งๆ ที่นางก้มหน้าก้มตาเดินไม่สนใจใคร นางสนใจแค่พวกที่นางต้องการจะตามล่าอย่างนึกสนุก
แล้วองครักษ์พวกนี้คืออันใด?
ในมือของเสี่ยวถิงมีปิ่นปักผมลวดลายประณีตสวยงามทำจากเงินยวง มีถุงหอมสีหวาน มีเชือกถักอันเล็กขดกันไปมา
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของบอกรักระหว่างบุรุษและสตรีที่พึงใจกัน
ม่านนียังคงงุนงงในขณะที่ใครบางคนยังคงขุ่นเคือง
เสี่ยวถิงยื่นของทั้งหมดให้ม่านนีพลางเอ่ย
“เจ้าช่วยรับจดหมายเอาไว้หน่อยเถิด และสิ่งของพวกนี้เจ้าก็แค่นำมันไปให้พวกเขา พวกเขาคงพอใจไม่น้อย นะ...ข้ารับสินจ้างมาแล้ว” ปลายประโยคเสี่ยวถิงเอ่ยเสียงแผ่ว นางกำลังทำหน้าที่แม่สื่อโดยสมบูรณ์ให้กับทุกคนด้วยเห็นแก่ค่าจ้างเต็มที่
ม่านนีหาได้สนใจความหมายของสิ่งเหล่านี้ไม่ นางหรี่ตาประเมินประโยชน์ของมันพลางรับเอามาไว้ในมือ
ปิ่นแหลมๆ นี่น่าจะเอาไว้เป็นอาวุธใช้ทิ่มแทงคนได้ ถุงใบนี้จับสัตว์มีพิษตัวเล็กๆ หรืองูพิษตัวน้อยๆ ใส่เอาไว้ก็ยังไหว เชือกถักเส้นนี้ถ้าคลี่ออกมาคงยาวพอจะรัดคอคนให้ตายได้ไม่ยาก
อืม...ใช้ได้ ใช้ได้ ม่านนีคิดในใจได้อย่างนั้น
เสี่ยวถิงเห็นม่านนีรับของทั้งหมดเอาไว้ด้วยใบหน้าใสซื่ออย่างนั้นจึงยกยิ้มชอบใจพลางเอ่ย “ขอบใจเจ้านะ เจ้าไม่ทำให้ข้าได้ผิดหวังเลย เสี่ยวม่าน” กล่าวจบก็จับมือของม่านนีเขย่าสองทีแล้วเดินจากไปพลางล้วงถุงเงินออกมานับอย่างอารมณ์ดี
เมื่อม่านนีเห็นเสี่ยวถิงเดินจากไปจนไกลลิบแล้ว นางจึงเดินทางต่ออย่างใจเย็นโดยลืมคนตัวโตก่อนหน้าไปเสียสิ้น
หญิงสาวเดินไปมองสิ่งของในมือไป
มือบางค่อยๆ เปิดปากถุงหอมออกแล้วเทเอาเครื่องหอมที่เป็นใบไม้ดอกไม้แห้งกรังมีกลิ่นแปลกประหลาดออกไปจากถุงหอมจนหมด ตามด้วยคลายปมของเชือกถักออกเพื่อหมายเอาไว้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา ส่วนปิ่นปักผมนั้น นางเดินเข้าหากำแพงที่อยู่ไม่ไกลแล้วเอาปลายปิ่นถูไถไปมากับกำแพงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความแหลมคมให้กับมันก่อนจะนำทั้งสองอย่างยัดใส่รวมกันเอาไว้ในถุงหอมที่ถูกเทเครื่องในจนหมด
เหลือแค่เอาสัตว์มีพิษสักตัวสองตัวมาใส่เอาไว้ให้มันพ่นพิษใส่ปลายปิ่นกับเชือกเส้นนี้
หึหึ! ม่านนีหัวเราะในใจ
เฟยหมิงมองม่านนีจากมุมไกลๆ
ยามนี้เขาทำตัวคล้ายกับเป็นองครักษ์เงาให้นางกระนั้น เขามองการกระทำของนางอย่างเข้าใจ นางมักจะมีความสามารถในการแปลงสิ่งของทุกอย่างใกล้มือให้เป็นอาวุธสังหารได้ทั้งหมด สัตว์ทั้งหลายในป่าใหญ่ยังตายด้วยผ้าผืนเดียวของนางมาแล้ว
เขาไม่แปลกใจ
แต่ที่เขาแปลกใจคือราชองครักษ์ทั้งสามนั่น
บุรุษพวกนั้นคืออันใด!?