25 การอยู่คนเดียวก็ไม่ได้เลวร้าย
เธอขับรถวนหาที่พักอยู่เกือบชั่วโมงและได้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ แม้บางที่จะราคาสูงแต่ก็อยู่ใกล้กับร้านของเธอ พุดพิชชายังไม่ตัดสินว่าจะเลือกที่ไหนเพราะเธออยากได้บ้านเช่ามากว่า แต่ถ้าหาบ้านเช่าไม่ได้จริงๆ เธอก็คงจะต้องยกเลิกการทำข้าวกล่องซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะนั่นหมายถึงรายได้ของเธอที่จะหายไปเมื่อเทียบกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นของเธอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่” รัญภาคย์ถามมารดาขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
“คือแม่จะถามรัญว่าตอนนี้เราพอจะมีบ้านว่างให้เช่าที่ไหนบ้างหรือเปล่า” เนื่องจากเธอเองไม่ได้ดูรายการทรัพย์สินที่มีอยู่นานแล้วจึงไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรมาก
“น่าจะมีอยู่สองหลังครับแม่ ใจกลางเมืองเลยพอดีคนเก่าพึ่งย้ายออกผมยังไม่ได้คุยกับคุณแอ๋วเลยว่าจะให้เช่าต่อหรือจะขาย” เขาหมายถึงพนักงานที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์ของบิดาที่แต่ก่อนนั้นฐิตาภาดูแลอยู่
“อย่าพึ่งขายเลย แม่อยากให้ปล่อยเช่าไปก่อน”
“ทำไมล่ะครับแม่ บ้านกลางเมืองอย่างนั้นมีแต่คนสนใจถ้าขายได้ก็คงจะดีกว่าปล่อยให้เช่านะครับเราก็ไม่ต้องเสียเวลาคอยเก็บค่าเช่าในแต่ละเดือนด้วย อีกอย่างถ้าทิ้งไว้นานหรือได้คนเช่าที่ไม่ค่อยดูแลบ้านก็คงจะทั้งโทรมและเก่าลงไปมาก”
“แม่อยากให้คนๆ หนึ่งเช่านะ”
“คนรู้จักเหรอครับแม่ แล้วผมรู้จักไหม”
“รู้จักดีเลยล่ะลูก”
“ใครเหรอครับ”
“หนูพุดจ้ะ” แล้วเธอก็ตัดสินใจเล่าเรื่องของพุดพิชชาให้กับรัญภาคย์ฟังตั้งแต่เรื่องที่เธอต้องย้ายมาอยู่ที่และเรื่องที่ปราณติญาจะแต่งงาน
“อ๋อ คุณพุดนี่เองแล้วเธอจะเช่าหลังไหนล่ะครับ ผมจะได้พาไปดู”
“แม่ยังไม่ได้บอกเธอเลย แม่เคยลองชวนเธอมาอยู่ด้วยที่บ้านแล้วแต่เธอก็ปฏิเสธแม่ไปแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องบ้านเช่าคงต้องหาทางให้หนูพุดไปเจอบ้านหลังนั้นเอง”
“เดี๋ยวเรื่องนั้นผมจัดการเองครับ” รัญภาคย์ยิ้มอย่างมีแผน บ้านทั้งสองหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากร้านของเธอเลยสักนิด หลังใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ส่วนอีกหลังก็อยู่ในซอยค่อนข้างลึกเป็นไปไม่ได้เลยที่พุดพิชชาจะผ่านไปแถวนั้นได้ เขาคงต้องเป็นคนพาเธอไปเองหรือบางทีคนที่สำนักงานอาจช่วยเขาได้
บ่ายแล้วลูกค้าเริ่มบางตาพุดพิชชากำลังดูเว็บไซต์บ้านเช่า แต่ดูเหมือนราคาที่ให้เช่าจะสูงเกินครึ่งของห้องเช่าธรรมดา เธอคำนวณรายรับ-ร่ายจ่ายแล้วก็ต้องถอนใจ แม้เงินเก็บจะยังพอเหลืออยู่ แต่รายได้ของแม่ค้าอย่างเธอก็ไม่มั่นคงมากนัก
“ทำอะไรอยู่ครับ หน้าเครียดเชียว” เสียงที่เธอไม่ได้ยินมานานหลายวันทำให้เธอต้องรีบเงยหน้ามอง
“อ้าว คุณรัญกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอคุยกับเขาเมื่อวันก่อน เขายังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่นึกว่าวันนี้เขาจะกลับมาทำงานที่นี่แล้ว
“กลับมาเมื่อวานครับ แต่ถึงดึกไปหน่อย เลยไม่ได้เจอแฟนของป่านแก้วเลย” เขาพูดเรื่องนี้เพื่อจะดูว่าเธอจะเล่าเรื่องที่กังวลให้เขาฟังหรือเปล่า
“ค่ะ ป่านแก้วพาแฟนมาทานข้าว”
“ดูเหมือนไม่ดีใจเลยที่เพื่อนมีแฟน”
“ดีใจสิคะ ใครๆ ก็อยากมีครอบครัวกันทั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
“คุณล่ะอยากมีครอบครัวไหม” เขาถามแล้วก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ
“มีใครไม่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นหรอกค่ะ แต่บางทีมันก็เลือกไม่ได้และไม่รู้ว่าคนที่เราเลือกจะมาเติมเต็มชีวิตเราได้อย่างที่หวังหรือเปล่า”
รัญภาคย์ฟังสิ่งที่เธอพูดแล้วอยากเข้าไปบอกเธอเหลือเกินว่าเขานี่แหละที่จะเติมเต็มชีวิตให้เธอ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเขาอยากให้เธอผ่านพ้นเวลานี้ไปก่อน
“นั่นสิครับ แล้วคุณทำอะไรอยู่ดูหน้าเครียดเชียว”
“ฉันกำลังหาบ้านเช่าน่ะคะ”
“ทำไมล่ะครับ” เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ก็ถ้าป่านแต่งงานก็คงอยากได้ความเป็นส่วนตัว ฉันอยากย้ายออกก่อนที่ป่านแก้วจะแต่งงานค่ะ” เธอไม่มีอะไรปิดบังเขา เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรเลยสักนิด
ชายหนุ่มฟังแล้วรู้สึกเห็นใจเธอและก็ดีใจที่เธอเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
“ผมพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง เดี๋ยวผมจะลองถามให้นะครับว่ามีที่ไหนให้เช่าหรือเปล่า”
“ขอบคุณนะคะ แล้วที่เดินมานี่มาชวนคุยอย่างเดียวหรือมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“แค่อยากหากาแฟทานครับ”
“ได้เลยค่ะ”
รัญภาคย์ขับรถไปที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์ของเขาเพื่อไปดูว่านอกจากบ้านสองหลังนั้นแล้วยังมีที่ไหนว่างอีกหรือเปล่า เขาอยากดูให้แน่ใจว่าบ้านหลังที่พุดพิชชาจะไปอยู่นั้นดีที่สุดสำหรับเธอ
“มีแค่สองหลังมี่เคยบอกคุณรัญไปนั่นแหละค่ะ ส่วนหลังอื่นตอนนี้ก็ยังมีคนเช่าอยู่ แต่ถ้าเป็นห้องพักก็พอมีอยู่อีกหลายห้องค่ะ” แอ๋วหรือปราณีบอกกับเจ้านายหนุ่มที่นานๆ ทีถึงจะเข้ามาที่นี่
“ผมขอดูรายละเอียดหน่อยครับ” แล้วเขาก็รับแฟ้มทั้งสองมาดูรายละเอียดอีกครั้ง
รัญภาคย์มองดูรายละเอียดแล้วก็เห็นว่าบ้านทั้งสองหลังนั้นเหมาะกับพุดพิชชาอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรกแต่ก็อยู่ที่เธอว่าจะเลือกเช่าหลังไหน
“คุณแอ๋ว ช่วยลงประกาศให้เช่าบ้านสองหลังนี้ให้ผมหน่อยนะครับ ส่วนราคาก็ให้ลงแค่ครึ่งเดียวถ้ามีคนติดต่อมาคุณแอ๋วอย่าพึ่งตกลงให้ใครเช่านะครับ ผมขอเป็นคนเลือกผู้เช่าเอง”
“ทำไมค่าเช่าถูกนักล่ะคะ” พุดพิชชารู้สึกไม่สบายใจเมื่อโทร. ไปถามถึงค่าเช่าบ้านที่ประกาศไว้ในเว็บไซต์
“อ๋อ พอดีเจ้าของเค้าอยากให้คนที่เช่าช่วยดูแลบ้านให้ด้วยเลยไม่อยากคิดค่าเช่าแพงค่ะ” ปราณีต้องตอบไปตามที่เจ้านายสั่งไว้
“ดูแลนี่หมายถึงอะไรบ้างค่ะ” เธอถามอย่างสงสัย
“ก็ดูแลทั่วๆ ไปค่ะ ทำความสะอาดบ้าน ดูแลสนามหญ้า รดน้ำต้นไม้เหมือนเราดูแลบ้านเราเองค่ะ เพราะคนเช่าคนก่อนไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ครั้งนี้เจ้าของเลยระบุมาว่าอยากได้คนเช่าที่เป็นผู้หญิงค่ะ”
“แล้วบ้านทั้งสองหลังต่างกันยังไงคะ” พุดพิชชาสงสัยเพราะบ้านสองหลังที่ประกาศให้เช่ามีขนาดค่อนข้างต่างกันมากแต่ราคาเช่าเท่ากันเธอจึงถามนายหน้าไปตรงๆ
“บ้านหลังใหญ่มีเฟอร์นิเจอร์ครบแต่คุณอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยในการดูแลบ้านทั้งหลัง ส่วนบ้านหลังเล็กเฟอร์นิเจอร์ก็ไม่เยอะมากเท่าไหร่ เพราะเน้นไปที่บริเวณรอบบ้านที่ร่มรื่นกว่า ภายในบ้านก็เลยโล่งโปร่งสบายเพียงแต่อยู่ท้ายซอยไปหน่อย ทั้งสองหลังเน้นว่าผู้เช่าต้องดูแลเหมือนบ้านตัวเองไม่ปล่อยให้โทรม แค่นั้นเองค่ะ ฉันเป็นคนทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์มานานก็ไม่เคยเจอบ้านเช่าราคาถูกแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่รู้จักเจ้าของบ้านเป็นการส่วนตัว ฉันก็คงสงสัยเหมือนคุณว่าที่บ้านมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“แล้วถ้าฉันตกลงเช่าจะเข้าไปอยู่ได้ตอนไหนคะ ต้องรอต้นเดือนหน้าหรือเปล่าคะ”
“แล้วแต่ทางคุณสะดวกเลยค่ะเพราะตอนนี้บ้านทั้งสองหลัง ทำความสะอาดเรียบร้อยพร้อมให้เจ้าของคนใหม่เข้ามาอยู่ ฉันคุยกับเจ้าของแล้วค่ะ ค่าเช่าก็เริ่มเก็บจากเดือนหน้าเลย”
“นี่พึงกลางเดือนเองนะคะ ถ้าเจ้าของจะคิดค่าเช่าฉันก็มาว่าอะไร ฉันไม่อยากเอาเปรียบใครค่ะ”
“ไม่ได้เอาเปรียบอะไรหรอกนะคะคุณ แต่คนก่อนที่ย้ายออกไปก็จ่ายค่าเช่าเดือนนี้ไปแล้ว แต่ที่ย้ายออกกลางเดือนเพราะต้องย้ายไปทำงานที่อื่นแบบกะทันหัน เลยต้องยอมทิ้งค่าเช่าอีกครึ่งเดือนไป”
“แล้วคุณไม่คืนค่าเช่าเหรอคะ” เธอคิดว่าเจ้าของเดิมทำไม่ถูกที่คิดเงินค่าเช่าคนเต็มเดือน
“เราไม่ได้คืนค่าเช่า เพราะคนเช่าผิดสัญญาที่ให้ไว้ ปกติต้องแจ้งย้ายก่อนล่วงหน้า 1 เดือนค่ะ ถ้าออกไปก่อนอย่างนี่เราก็ไม่จำเป็นต้องคืนค่าเช่าค่ะ อีกอย่างเค้าก็ไม่ค่อยดูแลบ้านเลย พอเขาย้ายออกทางเราต้องให้ช่างมาทำประตูรั้วใหม่ทั้งหมด” เธอกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่คนเดิมย้ายออกก่อนเวลาก็จริง แต่เรื่องทำรั้วใหม่นั้นรัญภาคย์เป็นคนให้เธอพูดแบบนั้นเพราะถ้าเธอตกลงเขาจะเป็นคนให้ช่างมาทำรั้วบ้านใหม่ทั้งหมด
“แล้วสัญญาเช่าระบุไหมค่ะว่าฉันจะต้องเช่าเป็นระยะเวลาเท่าไหร่” พุดพิชชาถามเพราะเธอเองไม่มั่นใจว่าจะเปิดร้านชาและทำข้าวกล่องได้นานแค่ไหน
“ในสัญญาเช่าไม่ได้ระบุว่าคุณจะต้องเช่าจนถึงเมื่อไหร่เพียงแต่ระบุว่าถ้าคุณจะย้ายออกต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือนเหมือนกับบ้านเช่าทั่วๆ ไปแค่นั้นเองค่ะ”
“ต้องชำระเงินค่าเช่าล่วงหน้าอย่างน้อยกี่เดือนคะ”
“ไม่ต้องชำระล่วงหน้าค่ะคุณสามารถเข้าอยู่ได้เลย”
“ขอฉันคิดดูก่อนนะคะ แล้วจะติดต่อคุณแอ๋วไปอีกที” เธอยังลังเล
“รีบหน่อยก็ดีนะคะ เพราะบ้านเช่าราคานี้มีมาไม่บ่อยค่ะ” ปราณีกำชับหญิงสาวอีกครั้ง เพราะถ้าเธอทำให้ผู้หญิงคนเช่าบ้านหลังใดหลังหนึ่งได้ รัญภาคย์บอกกับเธอว่าจะได้เงินพิเศษอีกก้อน
พุดพิชชารู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างมากที่ได้บ้านเช่าตามที่ต้องการเธอตัดสินใจเลือกเช่าบ้านหลังเล็กแม้เฟอร์นิเจอร์จะไม่มีมากเหมือนหลังใหญ่แต่ก็สะดวกกับการดูแลทำความสะอาดบ้านทั้งหลังอย่างที่นายหน้าให้เช่าบอกกับเธอแล้วเธอก็ตกลงนัดกับในหน้าว่าจะไปเจอกันที่บ้านเช่าเพื่อให้เธอดูตัวบ้านอีกทีแล้วค่อยตัดสินใจเซ็นสัญญาเช่า
ครั้งนี้เธอรีบโทรศัพท์ไปบอกรัญภาคย์เป็นคนแรกไม่ใช่เพื่อนซี้อย่างปราณติญาอย่างเคย
“ผมดีใจด้วยนะครับ แล้วคุณนัดไปดูบ้านวันไหนเผื่อผมว่างจะได้ไปดูด้วย”
“คงจะเป็นวันอังคารหน้าค่ะ ฉันไปคนเดียวได้ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ” พุดพิชชารู้ว่าเขาทำงานหนักมากในช่วงนี้เพราะได้ยินเขาเล่าว่าฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งใหม่กำลังจะเปิด
“ไม่เป็นไรครับผมว่างพอดี ที่ร้านใหม่ก็เอาอุปกรณ์ลงครบหมดแล้วเหลือแค่ตกแต่งอีกนิดหน่อย คงจะเปิดช่วงปีใหม่พอดี ผมเองก็มีเรื่องจะปรึกษาคุณด้วยเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินว่าเขามีเรื่องจะปรึกษาเธอเลยยอมให้เขาไปด้วย
“แล้วเจอกันวันอังคารนะครับ”
“ค่ะ”
“ผมว่าบ้านก็ดูสวย และยังดูใหม่อยู่มาก เสียอย่างเดียวอยู่ท้ายซอย แล้วที่หน้าบ้านกับรอบๆ บ้านมีกล้องวงจรปิดไหมครับ” เขาแกล้งถามออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไม่มีการติดกล้องแต่อย่างใด ซึ่งเขาตั้งใจจะติดกล้องให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่ช่างที่ติดต่อไว้ยังไม่ว่างมาทำให้ จึงต้องแกล้งพูดอย่างนั้นไปก่อนเพื่อเธอจะได้ไม่สงสัยในวันที่ย้ายเข้ามาอยู่
“ยังไม่มีค่ะ” ปราณีตอบแล้วก็แอบมองหน้าเจ้านาย เธอรู้สึกว่าเจ้านายดูจะห่วงใยผู้หญิงคนนี้เป็นพิเศษ แม้เธอจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับรัญภาคย์มากนักแต่ก็พอสังเกตจากสีหน้าและแววตาได้
“จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมอยากให้เจ้าของติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม คุณช่วยติดต่อเจ้าของบ้านให้หน่อยได้ไหมครับ”
“ดิฉันจะลองติดต่อให้นะคะ” แล้วปราณีก็ออกไปโทรศัพท์โดยให้พุดพิชชาเดินดูบริเวณรอบๆ บ้านอยู่คนเดียวเพราะ รัญภาคย์นั้นแอบเดินตามปราณีออกไป
“เรื่องกล้องจะเอายังไงดีคะ” ปราณีกระซิบเจ้านาย
“ก็คงต้องรอช่างมาติดให้อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ เรื่องค่าใช่จ่ายก็ทำเรื่องเบิกมาที่ผมโดยตรงก็ได้ เพราะบ้านหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผม ไม่ได้อยู่ในรายการทรัพย์สินของบริษัท”
บ้านหลังนี้รัญภาคย์ซื้อต่อมาจากเพื่อนของเขาในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดเกือบครึ่งเพราะเพื่อนของเขาจะย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศเลยไม่อยากต้องเสียเวลารอขายให้คนอื่น ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปบ้านหลังนี้จะทำประโยชน์ให้เขาได้อีกครั้ง
“ค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะที่มาด้วยวันนี้ ถ้าคุณไม่บอกเรื่องกล้องวงจรปิดฉันก็คงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าต้องมีด้วย” เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงๆ อย่างที่บอกเขาไป แต่เมื่อคิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็รู้สึกอุ่นใจถ้าเจ้าของบ้านจะติดกล้องวงจรปิดเพิ่มให้ด้วย และที่น่ายินดีก็คือยังคิดค่าเช่าในราคาเดิม
“ครับ แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า วันนี้ต้องเปิดร้านไหม”
“ไม่ค่ะ คุณรัญล่ะคะจะไปไหนต่อหรือเปล่า แล้วเรื่องที่จะปรึกษาฉันล่ะคะ”
“อ๋อ” แล้วรัญภาคย์ก็ปรึกษากับเธอเรื่องที่เขาจะเปิดร้านอาหารใกล้ๆ กับฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งใหม่เพราะอยากให้เป็นการบริการที่ครบวงจร ทั้งเรื่องการออกกำลังกายและเรื่องอาหารรวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆ เขาอยากให้เธอช่วยมาเป็นผู้จัดการร้านและฝึกอบรมพนักงานให้ทุกคนสามารถทำอาหารได้โดยที่เธอไม่ต้องเหนื่อยลงมือทำเอง
“คุณคิดดีแล้วใช่คะ”
“ครับ ผมว่าคุณน่าทำได้ เพราะแม่เคยเล่าให้ฟังว่าร้านกาแฟเดิมของคุณก็ขายทั้งกาแฟ และขนมรวมทั้งยังมีลูกน้องที่ต้องดูแลอีกหลายคน และคุณเป็นคนจัดการทุกอย่างภายในร้านเองทั้งหมดผมเชื่อว่าคุณจะทำได้” เขากล่าวอย่างมั่นใจ เพราะทุกวันนี้พุดพิชชานั้นทำอะไรตั้งหลายอย่างโดยแต่ละอย่างที่เธอทำนั้นไม่ใช่แค่ทำได้ แต่ทำได้ดีเลยทีเดียว
“ค่ะ ฉันเคยดูแลร้านกาแฟ ถ้าคุณอยากให้ฉันทำจริงๆ ฉันอยากขอไปดูที่ร้านก่อนได้ไหมคะ แล้วก็อยากทราบด้วยว่าลูกค้าในแต่ละวันประมาณกี่คน”
“ได้สิ ช่วงแรกผมจะให้คุณไปดูที่ร้านก่อนเพราะตอนนี้ส่วนของร้านอาหารยังไม่ค่อยเรียบร้อย คงจะเปิดหลังฟิตเนสฯ สักเดือน”
“ดีเลยค่ะ ฉันจะได้วางแผนถูก”
“เรื่องเงินเดือนคุณเรียกมาได้เลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะฉันแค่อยากช่วยเท่านั้นเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมคงไม่ใช้งานคุณฟรีๆ อีกอย่างผมอยากให้คุณเซ็นสัญญาอย่างน้อยสี่ปีก็ยังดีนะครับ ผมจะได้มั่นใจด้วยว่าคุณจะไม่หนีผมไปไหน”
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ” เธอส่งยิ้มที่จริงใจประหนึ่งสัญญาว่าเธอจะไม่มีทางทิ้งเขาไปไหน
“ส่วนที่ร้านชา คุณก็ยังไปขายอย่างเดิมได้นะครับ แต่ผมอยากให้คุณหาคนมาช่วย ถ้าไม่รังเกียจให้ผมลองหาให้ไหมครับ เพราะตอนที่ผมรับสมัครพนักงานครั้งก่อน มีหลายคนที่มีประสบการณ์เคยเป็นลูกน้องที่ร้านชาในกรุงเทพฯ มาก่อน
“ฉัน...”
“อย่าปฏิเสธเลยครับ ผมให้คุณมาช่วยงานของผม ผมก็ควรจะหาคนมาช่วยงานคุณนะครับ”
“ขอฉันดูอีกทีนะคะ ฉันอยากได้คนที่พอจะรู้เรื่องเครื่องดื่มอยู่บ้างจะได้ไม่ต้องสอนกันมาก”
“ครับ ผมจะลองดูให้ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่เปิดร้านแล้ว ไปช่วยผมซื้อของใช้เข้าบ้านหน่อยได้ไหมครับ”
“ยินดีค่ะ”