ตอน 2
หญิงสาววิ่งเข้าไปในห้อง ห้องนอนนานๆ กลับมานอน วันนี้ยังคงไม่ได้นอน เป้ไปเก่งยังกองอยู่ปลายเตียง ยังไม่ได้เก็บของออกด้วยซ้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้ารวดเร็ว โยนโน่นจับนี่ส่ง แบกเป้ขึ้นบ่าก้าวออกจากห้อง
“ฉัตร...เอ้ย กลับมาแล้วหรือ” ยายร้องถามตอนหลานเดินผ่านห้องนั่งเล่น เข้าใจว่าหลานเพิ่งกลับ
กมลฉัตรมองหน้ายาย เธอไม่ได้อยู่กับยายนานจึงไม่เข้าใจว่ายายอยู่ในภาวะอัลไซเมอร์ “แม่...” หันไปถามแม่พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ยาย
“คนแก่น่ะฉัตรหลงๆ ลืม อย่าห่วงเลยแม่จะดูแลยายเอง”
“ไม่ใช่ว่ายายเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือแม่ ฉัตรเป็นห่วงยายจัง”
“ไม่มีอะไรแม่จัดการเอง ไปธุระเถอะ” แกล้งเข้าใจว่าลูกไปธุระ ความเป็นจริงไปทำงาน ถ้ามีเป้แบกบนหลัง ความรู้สึกของกานดาหวิวทำให้น้ำเสียงพูดกับลูกสั่น กมลฉัตรเพิ่งกลับมา แต่กลับออกไปอีก ไม่ถึงสามชั่วโมงด้วยซ้ำ “ฉัตร !” แม่เรียกเสียงสั่น “ถือว่าแม่ขอนะ ลาออกจากงานนี้เถอะ” ความรู้สึกที่ก่อเกิดทุกวินาที ทุกครั้งที่ลูกก้าวเท้าออกจากบ้าน หัวใจคนเป็นแม่วิตกกังวลทุกครั้ง ได้แต่สวดมนตร์ ภาวนาขอให้กมลฉัตรปลอดภัยแคล้วคลาด
“พี่สืบปกป้องลูกด้วยนะ” เพราะบิดาใช่ไหมทำให้กมลฉัตร ต้องการเดินตามรอยพ่อ ติดการทำงานเสี่ยงตาย จากวินาทีที่ลูกเดินมาบอกกับแม่ว่า สอบติดตำรวจตามรอยพ่อ ที่เสียชีวิตจากการปะทะกับพวกค้ายาข้ามประเทศ กานดาค้านตั้งแต่ตอนนั้น หากแต่เลือดในตัวร้อยตำรวจโทสืบสิงห์ ปิยะฉาย ไหลเวียนในตัวกมลฉัตรเข้มข้น คนเป็นแม่ไม่สามารถทัดทานได้
“งานอะไรฉัตร” แม่ถามอย่างเจ็บปวด ทั้งหมดเพราะห่วง
“อาจจะเป็นงานรักษาความปลอดภัยเหมือนเคยๆ ค่ะแม่”
“ลาออกจากหน่วยงานที่ฉัตรทำอยู่ได้ไหมลูก”
“แม่...” กมลฉัตรรู้ว่าแม่ต้องพูดประโยคเดิมๆ เธอเข้าใจท่านดีในความเป็นห่วง แต่นี่คือความฝันที่เธอทำเพราะระลึกถึงพ่อ
“เออ...ไม่พูดแล้ว ดูแลตัวเองล่ะ” ครั้งนี้กานดารู้สึกใจหวิวกว่าทุกครั้งที่ลูกไปทำงาน
กมลฉัตรไม่รับปากกับมารดา โผเข้าสวมกอดแทนคำตอบ มองยายนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ ครั้งนี้ทำไมรู้สึกอาลัยอาวรณ์พวกท่านแปลกๆ
“ไปนะแม่ ฉัตรฝากดูแลยายด้วยค่ะ” อยากอยู่ดูแลท่านด้วยตัวเอง แต่หน้าที่บีบ เข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงของแม่ ไม่ว่ากี่ครั้งก้าวออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ แม่จะขอให้เธอลาออก บางครั้งขอให้ย้ายตัวเองไปหน่วยเอกสาร จัดการงบประมาณ จัดเลี้ยง หรือฝ่ายนันทนาการว่ากันไป
แม่ทำให้เธอใจหาย ราวกับว่าจะไม่กลับมากอดกันอย่างนั้น สายตาคู่นั้นแปลความรู้สึกไปได้หลากหลาย ทั้งหมดจบลงที่ความเป็นห่วง ใช่ว่าไม่เคยไป ถ้าเธอตายหน่วยงานก็ประกาศเกียรติคุณอยู่ดี มือหนึ่งย่อมไม่มีวันพลาด เชื่อมั่นในฝีมือความชำนาญในการดูแลคนอื่นของตัวเองระดับหนึ่ง แม้แม่ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเธอ ทั้งหมดเพราะความห่วงทั้งสิ้น
สอดตัวเข้าไปนั่งในรถยนต์ Zusuki Swift สีแดงเจิดจรัสคู่ใจ ไม่ใช่นางพิ้งฟีโน่สีชมพู เธอรู้ว่าควรมีเวลากล่าวอะไรกับแม่ หากแต่โดนขู่ด้วยเวลาไม่กี่นาที บอสค่อนข้างเคร่งเรื่องความตรงต่อเวลา เชื่ออีกว่าสิบนาทีคือคำขู่
“ฉัตร” กานดาพยุงยายเดินมาหยุดข้างประตูรถ เรียกลูกสาวเสียงเศร้าหมองทั้งหมดก็คือความรัก
“คะแม่” มองแม่กับยาย ทุกทีสิน่าแม่ชอบทำให้เป็นห่วง เธอก็ห่วงจริงนั่นแหละ ห่วงทั้งสองคน ยิ่งไม่มีพ่ออยู่คุ้มครอง ความห่วงเป็นสองเท่า
“ดูแลตัวเองนะฉัตร” มารดายื่นมือเข้าไปในรถ ลูบแก้มลูกสาว ความรู้สึกกมลฉัตรยังคงเป็นลูกสาวตัวน้อยของแม่ ต่อให้โตทำงานมีความรับผิดชอบก็ตามที เมื่อก่อนกานดาไม่เคยรู้ว่าการเข้าไปเป็นตำรวจหน่วยงานไหน รู้แต่ลูกสาวต้องการตามรอยพ่อ จึงปล่อยไปตามความฝัน
จึงคาดคั้นขอความจริง ตอนเห็นกมลฉัตรหายไปทำงานหลายวัน พอกลับถึงบ้านเหนื่อยราวกับเส้นเอ็นขาด นอนข้ามวันข้ามคืน เวลามารดาซักถามทำเฉไฉ คุยเรื่องอื่น พอโดนซักมากเข้ากมลฉัตร จึงปริปากพูดเรื่องหน้าที่การงาน “เป็นบอดี้การ์ด” หน่วยรับกระสุนแทนคนอื่น พอกานดารู้ความจริง หัวใจคนเป็นแม่แทบหยุดเต้น นอกจากสามีเสียเพราะเป็นตำรวจขาลุย บุกทะลายขบวนการค้ายา ตายเพราะคนพวกนั้น ยังเสียใจมาจนทุกวันนี้ แม้ตายในหน้าที่มีธงชาติคลุมร่าง แต่นั่นความรู้สึกคนเป็นเมีเยเป็นแม่คุ้มกันแล้วหรือ ลูกสาวสมัครใจทำงาน ‘บอดี้การ์ด’ อีกคนชีวิตนางนับว่ามีบุญก็ว่ากรรมก็เยอะ จึงต้องเผชิญกับความอ้างว้างสูญเสียอยู่ร่ำไป
“รับรองฉัตรจะกลับมากอดแม่กับยายแน่นอนค่ะ” หัวใจสั่งให้กลับ คือกลับ
“ไปเถอะ แม่จะรอ” กานดาเชื่อว่ากมลฉัตรเก่งเป็นผู้หญิงมีความฝันเลือดพ่อแรง ห้ามอย่างไรคงไม่เชื่อฟัง อีกหน่อยเบื่อคงเลิกทำเอง
“ยายดูสิหลานจะไปทำงานแล้วนะ อวยพรหลานหน่อย”
“ฉัตรใช่ไหม ฉัตรนะ”
“มีหลานคนเดียวแม่”
“ฉัตรนะ ใช่ฉัตรไหม”
“ใช่แม่”
“ฉัตรไปทำงานดีๆ นะ ฉัตรของยายเก่ง กลับมาหายายกับแม่นะ เข้าใจไหม” บทยายพูดรู้เรื่องก็รู้เรื่อง
“ค่ะยาย” กมลฉัตรเป็นห่วงยาย ดูเหมือนยายหลงลืมเยอะแล้ว เชื่อว่ายายกับแม่เป็นหญิงแกร่ง หญิงสาวไม่เคยคิดสัมผัสเวลาลำบากใจ เธอไม่อยากโยนความเข้มแข็งทิ้งโดยเก็บความอ่อนแอไปทำงาน ในใจจะมีแต่ความเป็นห่วงว้าวุ่น ทำงานโดยมีห่วงรออยู่เบื้องหลัง
“น้ากาน ฉัตรไปไหน” โย่งถือของเดินผ่านประตูเข้ามา เห็นหลังรถกมลฉัตรเพื่อนรัก
“อ้าว...โย่ง ฉัตรไปทำงาน”
“หะ...หา เพิ่งกลับมานี่ครับ” โย่งคือเพื่อนสนิทบ้านติดกัน ดีใจรู้ว่ากมลฉัตรกลับบ้าน ภายหลังหายไปทำงานสองสัปดาห์ พอรู้ข่าวรีบซิ่งไปซื้อส้มตำป้าจุ๋ม เพื่อเซ่นสาวสวย มองถุงส้มตำด้วยความเศร้า ทั้งที่ตั้งตั้งซื้อมาเอาใจเพื่อน กลับมาช้าเกินไป
“อืม...มีงานด่วน” กานดาได้แต่บอกกับเพื่อนลูกสาวเสียงเศร้า มองตามรถซูซูกิสีแดงเคลื่อนจากไป วันนี้ใจหวิวแปลกๆ จังหวะถอยหลังชนตุ๊กตาลูกเป็ดประดับสวนล้ม
โย่งหน้าเหี่ยวถือถุงส้มตำไก่ย่างเก้อ ทรุดก้นลงนั่งกับม้าหินอ่อนอย่างหมดหวัง “น้ากานฉันยกให้” ยกถุงส้มตำให้แม่เพื่อน
“โน่น...บนโต๊ะ” กานดาชี้ไปตรงโต๊ะอาหาร ที่มีจานส้มตำแดงแจ๋กับลูกสมุนสามสี่จานวางเป็นหมันอยู่
บอสวิทวัตรขู่เสียงเข้ม ใครที่ไหนสามารถฝ่าการจาราจรกรุงเทพ ถึงที่หมายภายในสิบนาที ขู่ให้ตายก็ไม่มีวันทำได้ เธออยู่บางใหญ่ถ่อสังขารเข้าเมืองสิบนาที นอกจากนกก็เป็นโดรนแล้วล่ะ
“บอดี้การ์ดแอลเธอโดนตามตัวด้วยหรือ” คนคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับกมลฉัตร คนนี้เคยร่วมงานกับเธอสองครั้ง เข้าขากันดีในภารกิจ “มีถั่วไหม” แกล้งแซวสิ่งบอดี้การ์ดคนนี้ชอบกิน
“สิบนาที ก็แฮรี่ พ็อตเตอร์ขี่ไม้กวาดแล้วล่ะว่ามั้ย บอดี้การ์ดเอ็ม” อัญ วีณา สาวนัยน์ตาโตสดใส ตลกรวยอารมณ์ขัน ผมม้าน่ารักรวบหางม้า กมลฉัตรบอดี้การ์ดเอ็ม ชอบถักเปียหนึ่งเส้นเปิดโหงวเฮ้งหน้าผาก ตารีสวยเฉี่ยว อีกหนึ่งฉายานอกจากบอดี้การ์ดเอ็ม ยังเป็นอาหมวยอีกด้วย เป็นฉายาไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด