6 คุณหนูจวนฟู่โหว
เพราะที่เมืองเสิ่นหนานมีคฤหาสน์อยู่หนึ่งหลัง เขาเคยมาซื้อทิ้งเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว นาน ๆ ครั้งผ่านมาที่นี่จึงจะแวะมาพักสักวันสองวันเพื่อให้หายเหนื่อยก่อนเดินทางต่อ เว่ยเจิ้งหยางจึงพานางไปพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น ซ้ำยังถูกบุตรชายออกคำสั่งให้เขาเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด
ชายหนุ่มสำรวจร่างกายเพื่อให้แน่ชัดว่านางเป็นบุตรสาวบ้านไหน โดยปกติพวกคุณหนูผู้ดีมักจะมีป้ายหยกหรือพู่ห้อยประดับตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งก็พบป้ายหยกที่มีสัญลักษณ์ของจวนฟู่โหว ได้ยินว่าที่ฟู่โหวมีบุตรหลานมากมายที่โดดเด่นโดยเฉพาะบุตรสาวคนโตและคนรอง พวกนางใบหน้างดงามล่มเมืองไม่เป็นรองผู้ใด
แต่ชื่อเสียงของคนพี่นั้นไม่ค่อยดีนัก ได้ยินว่าถึงจะงดงามกว่าผู้เป็นน้องสาวก็จริงแต่กลับมีนิสัยร้ายกาจ เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมือง ส่วนคนน้องถึงจะเป็นลูกของอนุภรรยาและงดงามไม่เท่ากลับมีจิตใจอ่อนโยนและมีน้ำใจ จากที่บุตรชายของเขาเล่างั้นนางก็คงเป็นคุณหนูคนรองของจวน
“ลู่เจียง เจ้านำสัญลักษณ์นี่ไปที่จวนฟู่โหว และบอกพวกเขาที ว่าคุณหนูของพวกเขาอยู่ที่นี่ ทางนั้นจะได้คลายกังวล” บุตรสาวหายไปเป็นวันขนาดนี้ทางนั้นคงร้อนใจออกตามหาเป็นแน่ เขาจึงสั่งให้คนของตนไปรายงานที่จวนฟู่โหว
“ท่านพ่อ พี่สาวจะฟื้นหรือไม่” เด็กชายใช้ผ้าชุบน้ำบรรจงเช็ดหน้าให้นางอย่างอ่อนโยน แต่แรงของเด็กชายมีน้อย ผู้เป็นบิดาเห็นแล้วก็อดไม่ได้จึงรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดให้นาง
“เดี๋ยวนางก็ฟื้น” เขาบอกกับบุตรชาย
“ใช่แล้ว พี่สาวเป็นคนดี อีกไม่นานนางก็ฟื้น”
------------------------
บ่าวรับใช้และองครักษ์เดินเล่นเพลิดเพลินอยู่ในตลาด โดยไม่ได้สนใจหรือใส่ใจว่าเจ้านายของตนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งเสี่ยวถิงและเสี่ยวเยว่ใช้เงินในถุงของเจ้านายจับจ่ายใช้สอยและแบ่งปันกันเป็นส่วน ๆ
ด้วยนิสัยของคุณหนูใหญ่ ไม่เคยนับอยู่แล้วว่าตัวนางมีเงินจำนวนเท่าไหร่ ข้าวของเครื่องประดับก็ถูกพวกนางยักยอกออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเอามาใช้ฟุ่มเฟือย ยอมโดนตบตีสาดน้ำนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรเพื่อแลกกับการได้อยู่ในเรือนคุณหนูใหญ่และขโมยของ
“เจ้าว่าป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” เสี่ยวถิงถามสหาย
“ไม่รู้สิ ไม่แน่อาจจะเดินย้อนกลับไปที่จวนโหวแล้วก็ได้”
“คิกคิก งั้นพวกเรากินอิ่มแล้วก็กลับกันบ้างเถอะ เราทำหน้าทำตาน่าสงสารบอกว่าพลัดหลงกับนาง ยังไงท่านโหวก็เข้าข้างเราอยู่ดี”
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะฟู่โหวรู้นิสัยของบุตรสาวดี เขาตามใจนางมาตั้งแต่ยังเล็ก เนื่องด้วยเพราะนางสูญเสียมารดาและร่างกายอ่อนแอ ครั้นเติบใหญ่ก็กลายเป็นสตรีนิสัยเสีย พี่น้องคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีมีเพียงนางเท่านั้นที่ผ่าเหล่าผ่ากอ เป็นสตรีร้ายกาจอยู่เพียงผู้เดียว
บุตรสาวคนรองที่เป็นเพียงลูกอนุภรรยายังดูเหมาะสมกับการเชิดหน้าชูตาเสียมากกว่า นางทั้งใจดีและอ่อนโยน ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวบ่าวรับใช้เลยสักหน ผิดกับคุณหนูใหญ่ ที่เมื่อไม่พอใจอะไรก็มักจะดุด่าตบตี
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงจวนก็พบว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่ได้กลับมา พวกนางทั้งสองเริ่มเป็นกังวล หากเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูใหญ่ขึ้นมาจะทำอย่างไร นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการพลัดหลงธรรมดาเสียแล้ว เพราะเกรงว่าตัวเองจะติดร่างแหโดนท่านโหวลงโทษ
จึงรีบกลับเข้าไปในห้องของคุณหนูใหญ่ขโมยสิ่งของมีค่าและรีบหลบหนีไปในที่สุด
------------------------
คนของลู่เจียงเมื่อมาถึงก็เข้าไปรายงานฟู่โหว ว่าองครักษ์ของเว่ยอ๋องมาขอพบ ฟู่ซิ่งเมื่อได้ยินว่าคนของเว่ยอ๋องมาขอพบก็แปลกใจ เพราะทั้งเขาและเว่ยอ๋องไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยคบค้าสมาคมกัน อีกทั้งความสัมพันธ์ในราชสำนักก็เป็นไปแบบเรียบง่ายไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน
“นายท่านจะเอาอย่างไรดีขอรับ” พ่อบ้านฟู่ถามความคิดเห็น
“อย่างไรก็ออกไปพบหน้าก่อน ดูท่าทีของพวกเขาให้แน่ใจ จะได้ไม่มีเรื่องขุ่นใจกันโดยใช่เหตุ” ฟู่ซิ่งเอ้ย
ซึ่งตัวพ่อบ้านฟู่เองก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้จึงมิได้ทัดทานอะไร โดยตัวเขาเดินออกไปรับหน้าก่อน ในเวลาไม่นานฟู่โหวจึงเดินตามออกมา
ชื่อเสียงของฟู่โหว ลู่เจียงรับรู้มาบ้าง ตัวของเขานับว่าเป็นเอกบุรุษ ใจดีมีคุณธรรม มีน้ำใจเป็นอันดับหนึ่ง ประพฤติตนอยู่กึ่งกลางระหว่างขุนนางฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดและก็มิได้ทำตัวมีปัญหากับใคร เที่ยงตรงยุติธรรม
เสียอยู่อย่างเดียวตามใจคุณหนูใหญ่จนเสียคน
รอคอยไม่นาน บุรุษท่าทางทรงอำนาจสวมชุดสีน้ำเงินเข้มเนื้อดีก็ก้าวเข้ามาในห้องรับรองแขกและนั่งยังเก้าอี้ประธานที่อยู่กลางห้อง
“คารวะฟู่โหว” ลู่เจียงเอ่ยอย่างนอบน้อม
“องครักษ์ลู่ เชิญตามสบาย”
เมื่อเจ้าบ้านเอ่ยลู่เจียงจึงเดินไปนั่งเก้าอี้อย่างมีมารยาท
“ที่ข้ามาวันนี้เพราะท่านอ๋องให้ข้านำข่าวมาแจ้งแก่ท่าน” ลู่เจียงเปิดประเด็นไม่อ้อมค้อม
ฟู่ซิ่งประเมินสิ่งที่องครักษ์หนุ่มเอ่ย ท่าทางไม่ได้เร่งร้อนคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา ผู้ชราจึงยอมรับฟัง
“เชิญองครักษ์ลู่”
รอให้บ่าวยกน้ำชาให้เรียบร้อย และรอให้พวกนางออกไปจากห้อง ลู่เจียงจึงหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา
“หยกชิ้นนี้เป็นของบุตรสาวของท่านใช่หรือไม่” ลู่เจียงยกขึ้นเพื่อให้เจ้าของบ้านดูให้ถนัด
เพราะแก่แล้วเขาจึงดูไม่ค่อยชัด พ่อบ้านฟู่จึงรับอาสานำไปให้ผู้เป็นนายดูให้ใกล้ ๆ เมื่อได้รับและพิจารณาให้ชัดเจนแน่นอนว่าไม่ผิด
“ไม่ผิด หยกชิ้นนี้เป็นของบุตรสาวของข้า” ฟู่ซิ่งจำได้แม่น ตัวหยกทำมาจากหยกสีชมพูหายากที่ตัดแบ่งออกเป็นสองชิ้น สลักเป็นสัญลักษณ์ของสกุลและตัวอักษรแบบที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ เนื่องจากเป็นสีชมพูและเหมาะกับสตรี เขาจึงยกทั้งสองชิ้นให้กับบุตรสาวคนโตและคนรอง
“งั้นก็ใช่แล้ว ดูเหมือนบุตรสาวคนรองของท่านจะประสบปัญหา”
ผู้ชราขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขากัน และยังไม่ทันที่ฟู่ซิ่งจะได้เอ่ยอะไรต่อ ฟู่เหยาเหยาที่เพิ่งกลับมาจากตลาดก็เข้ามารายงานตัวพอดี โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าบิดากำลังมีแขกสำคัญ
“คารวะท่านพ่อ” นางยิ้มแจ่มใสเดินเข้าไปหาผู้เป็นบิดา “ข้าได้ยินว่าท่านพ่ออยู่ที่เรือนต้อนรับจึงตั้งใจมาหาท่านก่อนจะกลับเข้าเรือนตัวเอง” ร่างเล็กเห็นสีหน้าของบิดาเคร่งเครียด จึงหันไปมองด้านข้างถึงได้รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว “ตายจริงข้าไม่ทราบว่าท่านพ่อมีแขกเหยาเหยาขอโทษด้วย”